น้ำพริกปลาทู
เครื่องปรุง
1. ปลาทู 2 ตัว
2. หอมแดง 100 กรัม
3. กระเทียมเป็นหัว 60 กรัม
4. พริกชี้ฟ้าเขียว 100 กรัม
5. น้ำมะนาว 5-6 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปลา 3-4 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. นำปลาทูสด ล้างให้สะอาด ควักไส้ออก ย่างไฟให้สุกจนหอมได้ที่ จากนั้นนำปลาทูมาแกะเนื้อออกพักไว้2. นำหอม กระเทียม และพริกชี้ฟ้า เผาไฟให้หอม เมื่อได้ที่นำลงพักไว้ ส่วนพริกชี้ฟ้าให้แกะเปลือกออก
3. นำหอม กระเทียม และพริกชี้ฟ้าที่เตรียมไว้โขลกให้ละเอียด จากนั้นใส่เนื้อปลาทูลงไปโขลกต่อให้เข้ากัน4. เมื่อเข้ากันแล้ว ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล ชิมรสตามใจชอบ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
5. จัดเสิร์ฟพร้อมผักสด หรือจะเป็นผักต้มก็ได้ตามแต่ใจชอบ
ที่มา : น.แม่บ้าน
อาหารคาว อาหารไทย อาหารจีน เกร็ดเคล็บลับในการทำอาหาร หลากหลาย รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาหารไทย สูตรอาหารไทย ค้นหาสูตร และเคล็ดลับในการทำอาหารไว้มากมาย
2008-10-30
2008-10-29
หอยลายผัดน้ำพริกเผา
หอยลายผัดน้ำพริกเผา
เครื่องปรุง
หอยลายตัวใหญ่1 กิโลกรัม
น้ำมันพืช3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมกลีบเล็กทุบ 5 กลีบ
พริกขี้หนูสวนบุบพอแตก8 เม็ด
เต้าเจี้ยวดำ1 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกเผา1½ ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย1/2 ช้อนชา
น้ำมันหอย1½ ช้อนโต๊ะ
โหระพาเด็ดใบ1/2 ถ้วย
ยอดโหระพาสำหรับตกแต่ง
วิธีทำ
1. ล้างหอยลาย ใส่ลงแช่ในอ่างน้ำ ทุบพริกขี้หนู 4 เม็ดใส่ลงไป พักไว้สักครู่เพื่อให้หอยคายดิน จากนั้นล้างอีกครั้งให้สะอาด ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
2. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่กระเทียมลงเจียวพอใกล้เหลือง ใส่หอยลาย เร่งเป็นไฟแรง ผัดให้ทั่ว ใส่พริกขี้หนู เต้าเจี้ยว น้ำพริกเผา น้ำตาล และน้ำมันหอย ผัดพอทั่ว ปิดฝาทิ้งไว้สักครู่ พอหอยสุกเปลือกอ้า ใส่ใบโหระพา ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ
3. ตักใส่จาน ตกแต่งด้วยยอดโหระพา เสิร์ฟ
(4 คนรับประทาน)
ที่มา : นิตยสารแม่บ้าน
เครื่องปรุง
หอยลายตัวใหญ่1 กิโลกรัม
น้ำมันพืช3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมกลีบเล็กทุบ 5 กลีบ
พริกขี้หนูสวนบุบพอแตก8 เม็ด
เต้าเจี้ยวดำ1 ช้อนโต๊ะ
น้ำพริกเผา1½ ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย1/2 ช้อนชา
น้ำมันหอย1½ ช้อนโต๊ะ
โหระพาเด็ดใบ1/2 ถ้วย
ยอดโหระพาสำหรับตกแต่ง
วิธีทำ
1. ล้างหอยลาย ใส่ลงแช่ในอ่างน้ำ ทุบพริกขี้หนู 4 เม็ดใส่ลงไป พักไว้สักครู่เพื่อให้หอยคายดิน จากนั้นล้างอีกครั้งให้สะอาด ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
2. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่กระเทียมลงเจียวพอใกล้เหลือง ใส่หอยลาย เร่งเป็นไฟแรง ผัดให้ทั่ว ใส่พริกขี้หนู เต้าเจี้ยว น้ำพริกเผา น้ำตาล และน้ำมันหอย ผัดพอทั่ว ปิดฝาทิ้งไว้สักครู่ พอหอยสุกเปลือกอ้า ใส่ใบโหระพา ผัดให้เข้ากัน ปิดไฟ
3. ตักใส่จาน ตกแต่งด้วยยอดโหระพา เสิร์ฟ
(4 คนรับประทาน)
ที่มา : นิตยสารแม่บ้าน
2008-10-28
สันคอหมูย่างน้ำจิ้มแจ่ว
สันคอหมูย่างน้ำจิ้มแจ่ว
เครื่องปรุง
เนื้อสันคอหมูแล่ส่วนมันออกบ้าง 500 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
เหล้า 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำจิ้มน้ำมะขามเปียกต้มสุก 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 หัว ต้นหอม
ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
พริกป่น 1 ช้อนชา
ข้าวคั่ว 1-2 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. สันคอหมูแล่เป็นชิ้นสำหรับย่าง
2. ผสมน้ำตาลปี๊บ ซอสหอยนางรม พริกไทยป่น เกลือ เหล้า เข้าด้วยกัน ลองแตะลิ้นชิมดู อย่าให้เค็มหรือหวานมากจนเกินไป
3. นำหมูที่แล่ไว้มาเคล้านวดเล็กน้อย เพื่อให้ส่วนผสมเข้าเนื้อหมูหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
4. นำไปย่างไฟกลางค่อนข้างอ่อนจนสุกเหลือง นำมาหั่นเป็นชิ้นบางพอคำ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม
5. น้ำจิ้ม ผสมน้ำตาลปิ๊บ น้ำปลา น้ำมะขามต้มสุก เข้าด้วยกัน ลองชิมดูให้ได้รสเค็ม เปรี้ยว หวาน (เผื่อรสเปรี้ยวไว้หน่อยเพราะจะต้องใส่น้ำมะนาวอีก) ใส่พริกป่น ข้าวคั่วคนให้เข้ากัน ใส่หอมแดงซอย ต้นหอม ผักชีฝรั่งซอยคนให้เข้ากันเสิร์ฟพร้อมคอหมูย่าง
ที่มา : นิตยสารแม่บ้าน
เครื่องปรุง
เนื้อสันคอหมูแล่ส่วนมันออกบ้าง 500 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
เกลือ 1/2 ช้อนชา
เหล้า 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำจิ้มน้ำมะขามเปียกต้มสุก 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1-2 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 หัว ต้นหอม
ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชา
พริกป่น 1 ช้อนชา
ข้าวคั่ว 1-2 ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. สันคอหมูแล่เป็นชิ้นสำหรับย่าง
2. ผสมน้ำตาลปี๊บ ซอสหอยนางรม พริกไทยป่น เกลือ เหล้า เข้าด้วยกัน ลองแตะลิ้นชิมดู อย่าให้เค็มหรือหวานมากจนเกินไป
3. นำหมูที่แล่ไว้มาเคล้านวดเล็กน้อย เพื่อให้ส่วนผสมเข้าเนื้อหมูหมักทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
4. นำไปย่างไฟกลางค่อนข้างอ่อนจนสุกเหลือง นำมาหั่นเป็นชิ้นบางพอคำ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม
5. น้ำจิ้ม ผสมน้ำตาลปิ๊บ น้ำปลา น้ำมะขามต้มสุก เข้าด้วยกัน ลองชิมดูให้ได้รสเค็ม เปรี้ยว หวาน (เผื่อรสเปรี้ยวไว้หน่อยเพราะจะต้องใส่น้ำมะนาวอีก) ใส่พริกป่น ข้าวคั่วคนให้เข้ากัน ใส่หอมแดงซอย ต้นหอม ผักชีฝรั่งซอยคนให้เข้ากันเสิร์ฟพร้อมคอหมูย่าง
ที่มา : นิตยสารแม่บ้าน
2008-10-27
ยำปลาช่อน
ยำปลาช่อน
ส่วนผสมปลาช่อน 1 ตัว ประมาณ1/2 กิโลกรัม
มะเขือเทศลูกใหญ่1 ลูก
หอมแดง8 หัว
กระเทียม7 กลีบ
ข่าหั่นบางๆ (ช่วยไม่ให้เหม็นคาว)4 แว่น
พริกสด10 เม็ด
มะนาว1 ลูก
มะม่วงดิบ1 ลูก
น้ำตาลปี๊บ1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ทำความสะอาดปลาช่อน ขอดเกล็ด ล้างน้ำ แล่แผ่เป็นแผ่น ย่างให้สุก แกะเอาแต่เนื้อป่นให้เป็นปุย
2. ต้มมะเขือเทศให้สุก แกะเอาแต่เนื้อ เอาเม็ดออกให้หมด บดด้วยช้อนให้ละเอียด
3. เผาหอมแดง กระเทียมให้สุก ปอกเปลือก ฉีกเป็นชิ้นๆหรือซอยให้เป็นฝอยเล็กๆยาวๆ
4. เผาข่า ปอกเปลือกโขลกให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำผสมกับปลาที่ป่นไว้
5. นำไม้เสียบพริกสด ปิ้งไฟให้สุก ล้างน้ำแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ
6. ปอกเปลือกมะม่วง สับแล้วซอยเป็นเส้นๆยาวๆน้ำปรุงรสผสมน้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา เข้าด้วยกัน
วิธีผสมน้ำยำ
1. ผสมมะม่วงกับน้ำปรุงรสให้เข้ากันดี
2. รวมเครื่องยำ- ปลาช่อนปุย มะเขือเทศบด หอมแดง พริกสดไว้ด้วยกันแล้วเทน้ำปรุงรส เคล้าให้เข้ากัน ตักใส่ภาชนะหมายเหตุรับประทานกับผักสดต่างๆ เช่น แตงกวา แตงร้าน มะเขือ หน่อไม้ ยอดสะเดา
ที่มา : นิตยสารแม่บ้าน
ส่วนผสมปลาช่อน 1 ตัว ประมาณ1/2 กิโลกรัม
มะเขือเทศลูกใหญ่1 ลูก
หอมแดง8 หัว
กระเทียม7 กลีบ
ข่าหั่นบางๆ (ช่วยไม่ให้เหม็นคาว)4 แว่น
พริกสด10 เม็ด
มะนาว1 ลูก
มะม่วงดิบ1 ลูก
น้ำตาลปี๊บ1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ทำความสะอาดปลาช่อน ขอดเกล็ด ล้างน้ำ แล่แผ่เป็นแผ่น ย่างให้สุก แกะเอาแต่เนื้อป่นให้เป็นปุย
2. ต้มมะเขือเทศให้สุก แกะเอาแต่เนื้อ เอาเม็ดออกให้หมด บดด้วยช้อนให้ละเอียด
3. เผาหอมแดง กระเทียมให้สุก ปอกเปลือก ฉีกเป็นชิ้นๆหรือซอยให้เป็นฝอยเล็กๆยาวๆ
4. เผาข่า ปอกเปลือกโขลกให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำผสมกับปลาที่ป่นไว้
5. นำไม้เสียบพริกสด ปิ้งไฟให้สุก ล้างน้ำแล้วฉีกเป็นชิ้นๆ
6. ปอกเปลือกมะม่วง สับแล้วซอยเป็นเส้นๆยาวๆน้ำปรุงรสผสมน้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา เข้าด้วยกัน
วิธีผสมน้ำยำ
1. ผสมมะม่วงกับน้ำปรุงรสให้เข้ากันดี
2. รวมเครื่องยำ- ปลาช่อนปุย มะเขือเทศบด หอมแดง พริกสดไว้ด้วยกันแล้วเทน้ำปรุงรส เคล้าให้เข้ากัน ตักใส่ภาชนะหมายเหตุรับประทานกับผักสดต่างๆ เช่น แตงกวา แตงร้าน มะเขือ หน่อไม้ ยอดสะเดา
ที่มา : นิตยสารแม่บ้าน
ยำตำลึงทอดกรอบ
ยำตำลึงทอดกรอบ
ส่วนผสม
ยอดตำลึงเด็ดเป็นใบ 300 กรัม
กุ้งชีแฮ้ตัวเล็ก 100 กรัม
น้ำมันสำหรับทอด 3 ถ้วยตวงส่วนผสมน้ำยำ
น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กะทิ (มะพร้าว 100 กรัม น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ) 1/2 ถ้วยตวง
พริกขี้หนูซอย 5 เม็ดส่วนผสมแป้งชุบ
แป้งทอดกรอบ 1 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเย็นจัด 1-2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. ล้างยอดและใบตำลึง ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
2. ล้างกุ้งทั้งเปลือก ตัดหนวดกุ้งออก พักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
3. ทำแป้งชุบโดยใส่แป้งทอดกรอบ แป้งข้าวเจ้า น้ำเย็นจัด ลงอ่างผสม ผสมด้วยตะกร้อจนเข้ากันดี นำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาจนส่วนผสมเย็นจัด
4. ทำน้ำยำโดยผสมน้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว กะทิเข้าด้วยกันในถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยคนพอทั่วพักไว้
5. ตั้งกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางจนร้อน นำใบและยอดตำลึงชุบแป้งให้ทั่ว ใส่ลงทอดให้สุกกรอบ ตักขึ้นบนกระดาษซับน้ำมัน กุ้งก็ชุบแป้งทอดเช่นเดียวกัน
6. ตักน้ำยำราดใส่จาน ใส่ใบตำลึงทอดกรอบ ตามด้วยกุ้งทอดกรอบ ราดน้ำยำแล้วเสิร์ฟทันที หรือจะแยกเสิร์ฟก็ได้ค่ะ
เกร็ดน่ารู้ตำลึง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง เช่น สารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี และอื่นๆ อีกมากมาย จากการค้นคว้า พบว่าตำลึงมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร อีกด้วย
ที่มา : horapa.com
ส่วนผสม
ยอดตำลึงเด็ดเป็นใบ 300 กรัม
กุ้งชีแฮ้ตัวเล็ก 100 กรัม
น้ำมันสำหรับทอด 3 ถ้วยตวงส่วนผสมน้ำยำ
น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กะทิ (มะพร้าว 100 กรัม น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ) 1/2 ถ้วยตวง
พริกขี้หนูซอย 5 เม็ดส่วนผสมแป้งชุบ
แป้งทอดกรอบ 1 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเย็นจัด 1-2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. ล้างยอดและใบตำลึง ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
2. ล้างกุ้งทั้งเปลือก ตัดหนวดกุ้งออก พักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
3. ทำแป้งชุบโดยใส่แป้งทอดกรอบ แป้งข้าวเจ้า น้ำเย็นจัด ลงอ่างผสม ผสมด้วยตะกร้อจนเข้ากันดี นำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาจนส่วนผสมเย็นจัด
4. ทำน้ำยำโดยผสมน้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว กะทิเข้าด้วยกันในถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยคนพอทั่วพักไว้
5. ตั้งกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางจนร้อน นำใบและยอดตำลึงชุบแป้งให้ทั่ว ใส่ลงทอดให้สุกกรอบ ตักขึ้นบนกระดาษซับน้ำมัน กุ้งก็ชุบแป้งทอดเช่นเดียวกัน
6. ตักน้ำยำราดใส่จาน ใส่ใบตำลึงทอดกรอบ ตามด้วยกุ้งทอดกรอบ ราดน้ำยำแล้วเสิร์ฟทันที หรือจะแยกเสิร์ฟก็ได้ค่ะ
เกร็ดน่ารู้ตำลึง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง เช่น สารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี และอื่นๆ อีกมากมาย จากการค้นคว้า พบว่าตำลึงมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร อีกด้วย
ที่มา : horapa.com
2008-10-26
ข้าวกล้องของดีเพื่อสุขภาพ
ข้าวกล้องของดีเพื่อสุขภาพ
"ข้าวกล้องมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวเม็ดสวยแต่เขาเอาของดีออกไป หมดแล้ว มีคนบอกว่าคนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละเป็นคนจน"ข้าวกล้องเมล็ดสีน้ำตาล หน้าตาไม่สวยใสเหมือนข้าวขัดขาว แต่การกินข้ากล้องนั้นทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มได้นานกว่า จึงไม่ทำให้อ้วน เพราะข้าวกล้องอุดมด้วยเส้นใยอาหารและคุณ ค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว บางคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกข้าวกล้องว่า ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง เพราะในสมัยโบราณชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินเอง จึงเรียกกันว่าข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวจึง เปลี่ยนมาเรียกว่า ข้าวกล้อง แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ล้วนแล้ว แต่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน
การกินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคโลหิตจาง กรรมวิธีการหุงข้าวกล้องก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าใครหุงไม่เป็นอาจทำให้ข้าวแข็งไม่น่ารับประทาน พลอย ทำให้ไม่อยากทานข้าวกล้องไปเสียอีก วิธีง่ายๆ เลยคือเริ่มจาก การเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และควรซาวข้าวเพียงครั้ง เดียวเพื่อไม่ให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำซาวข้าว ในการหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำในปริมาณที่มากกว่าการหุงข้าว ขาวเพราะข้าวกล้องมีเยื่อหุ้มเมล็ด การดูดซึมน้ำจะยากกว่าจึงต้อง ใช้เวลาหุงนาน แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาควรจะแช่ข้าวกล้อง ก่อนหุงประมาณ 5-10 นาที ข้าวกล้องที่หุงแล้วจะได้นุ่มหอมน่ารับ ประทาน การรับประทานข้าวกล้องนั้น
สำหรับผู้ที่รับประทานใหม่ๆ อาจจะ ไม่เคยชิน รู้สึกฝืดคอแต่หากรับประทานไประยะหนึ่งจะรู้สึกว่า ข้าวกล้องหอม ยิ่งเคี้ยวนานๆ ก็จะได้รสชาติหวานอร่อย ได้รส ชาติมากกว่าข้าวขาว เคล็ดลับในการรับประทานข้าวกล้องอีกประการหนึ่งที่อยากจะ แนะนำคือ ควรรับประทานขณะที่ยังอุ่น เพราะข้าวจะนุ่มและ ควรรับประทานข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมด ในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องจะบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วไป เมื่อทราบอย่างนี้แล้วใครที่กำลังตัดสินใจจะหันมาลองรับประทาน ข้าวกล้องก็อย่ารอช้าเชิญมาพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองซิคะ
ที่มา : samunpri.com
"ข้าวกล้องมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวเม็ดสวยแต่เขาเอาของดีออกไป หมดแล้ว มีคนบอกว่าคนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละเป็นคนจน"ข้าวกล้องเมล็ดสีน้ำตาล หน้าตาไม่สวยใสเหมือนข้าวขัดขาว แต่การกินข้ากล้องนั้นทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มได้นานกว่า จึงไม่ทำให้อ้วน เพราะข้าวกล้องอุดมด้วยเส้นใยอาหารและคุณ ค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว บางคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกข้าวกล้องว่า ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง เพราะในสมัยโบราณชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินเอง จึงเรียกกันว่าข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวจึง เปลี่ยนมาเรียกว่า ข้าวกล้อง แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ล้วนแล้ว แต่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน
การกินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคโลหิตจาง กรรมวิธีการหุงข้าวกล้องก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าใครหุงไม่เป็นอาจทำให้ข้าวแข็งไม่น่ารับประทาน พลอย ทำให้ไม่อยากทานข้าวกล้องไปเสียอีก วิธีง่ายๆ เลยคือเริ่มจาก การเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และควรซาวข้าวเพียงครั้ง เดียวเพื่อไม่ให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำซาวข้าว ในการหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำในปริมาณที่มากกว่าการหุงข้าว ขาวเพราะข้าวกล้องมีเยื่อหุ้มเมล็ด การดูดซึมน้ำจะยากกว่าจึงต้อง ใช้เวลาหุงนาน แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาควรจะแช่ข้าวกล้อง ก่อนหุงประมาณ 5-10 นาที ข้าวกล้องที่หุงแล้วจะได้นุ่มหอมน่ารับ ประทาน การรับประทานข้าวกล้องนั้น
สำหรับผู้ที่รับประทานใหม่ๆ อาจจะ ไม่เคยชิน รู้สึกฝืดคอแต่หากรับประทานไประยะหนึ่งจะรู้สึกว่า ข้าวกล้องหอม ยิ่งเคี้ยวนานๆ ก็จะได้รสชาติหวานอร่อย ได้รส ชาติมากกว่าข้าวขาว เคล็ดลับในการรับประทานข้าวกล้องอีกประการหนึ่งที่อยากจะ แนะนำคือ ควรรับประทานขณะที่ยังอุ่น เพราะข้าวจะนุ่มและ ควรรับประทานข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมด ในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องจะบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วไป เมื่อทราบอย่างนี้แล้วใครที่กำลังตัดสินใจจะหันมาลองรับประทาน ข้าวกล้องก็อย่ารอช้าเชิญมาพิสูจน์ด้วยตัวคุณเองซิคะ
ที่มา : samunpri.com
2008-10-25
อาหารไทย
อาหารไทย เป็นอาหารที่ประกอบด้วยรสเข้มข้น มีเครื่องปรุงหลายอย่าง รสชาติอาหารแต่ละอย่างมีรสเฉพาะตัว การใช้เครื่องปรุงรสต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน ผู้ประกอบอาหารไทยต้องศึกษาจากตำราอาหารไทยและผู้เชี่ยวชาญ การทำอาหารไทยให้อร่อยต้องใช้ความชำนาญ และประสบการณ์ ตลอดจนกรรมวิธีในการประกอบอาหารไทยผู้ทำจะต้องพิถีพิถัน ประณีต มีขั้นตอนเพื่อให้อาหารน่ารับประทาน
รสชาติของอาหารไทย
รสเค็ม
อาหารไทยได้รสเค็มจากน้ำปลาเป็นส่วนใหญ่ การประกอบอาหารไทยเกือบทุกชนิด ถ้าต้องการรสเค็มแล้วจะขาดน้ำปลาไม่ได้เลย สังเกตจากเวลารับประทานอาหาร จะต้องมีถ้วยน้ำปลาเล็ก ๆ รวมอยู่ในสำรับอาหารแต่บางครั้งนอกจากน้ำปลาแล้วยังใช้เกลือหรือซีอิ๊วขาวเป็นตัวปรุงรสอาหารให้เกิดความเค็ม
รสหวาน
การประกอบอาหารไทยรสหวาน โดยทั่วไปในอาหารไทยใช้น้ำตาลทรายในการประกอบอาหารแล้ว ยังมีน้ำตาลอีกหลายชนิด เช่น น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลโตนด น้ำตาลงบ ฯลฯ
รสเปรี้ยว
อาหารไทยนอกจากจะได้จากน้ำส้มสายชู แล้วยังมีมะนาว และที่นำมาใช้ประกอบอาหารกันมาก โดยที่ประเทศอื่น ๆ ไม่มีใช้ก็คือ ความเปรี้ยวที่ได้จากน้ำส้มมะขามเปียก น้ำมะกรูด น้ำส้มซ่า นอกจากนั้นรสเปรี้ยวจากใบมะขามอ่อน ใบมะดัน ใบส้มป่อย มะดัน ซึ่งรสเปรี้ยวจากสิ่งเหล่านี้มีแต่ในอาหารไทย
รสเผ็ด
รสชาติอาหารของประเทศใดก็ไม่เผ็ดร้อนเหมือนอาหารไทย รสเผ็ดที่ได้จากอาหาร มาจากพริกขี้หนู พริกชี้ฟ้าสด เรายังนำมาตากแห้งเป็นพริกแห้ง คั่วแล้วป่นเป็นพริกป่น รสเผ็ดเป็นรสที่อาหารไทยจะขาดไม่ได้ในการประกอบอาหารคาวชนิดที่ต้องมีรสเผ็ด การจะใส่พริกมากน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการรสของผู้บริโภค
รสมัน
อาหารไทย ได้รสมันจากกะทิและน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ ในการประกอบอาหารไทยโดยเฉพาะอาหารประเภทแกงกับขนมไทย ความมันที่ได้จะมาจากแกงที่ใส่กะทิ เช่นแกงหมูเทโพ แกงเขียวหวาน ขนมชั้น ตะโก้ ฯลฯ ฉะนั้นรสชาติของอาหารไทย จึงมีความกลมกล่อมจากรสชาติต่าง ๆ
1. ประเภทแกงชนิดต่าง ๆ
แกงเผ็ด แกงคั่ว แกงป่า แกงจืด ต้มยำ ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่
2. ประเภทเครื่องจิ้มต่าง ๆ
3. ประเภทยำ
4. ประเภทอาหารว่าง
5. ประเภทของหวาน
รสชาติของอาหารไทย
รสเค็ม
อาหารไทยได้รสเค็มจากน้ำปลาเป็นส่วนใหญ่ การประกอบอาหารไทยเกือบทุกชนิด ถ้าต้องการรสเค็มแล้วจะขาดน้ำปลาไม่ได้เลย สังเกตจากเวลารับประทานอาหาร จะต้องมีถ้วยน้ำปลาเล็ก ๆ รวมอยู่ในสำรับอาหารแต่บางครั้งนอกจากน้ำปลาแล้วยังใช้เกลือหรือซีอิ๊วขาวเป็นตัวปรุงรสอาหารให้เกิดความเค็ม
รสหวาน
การประกอบอาหารไทยรสหวาน โดยทั่วไปในอาหารไทยใช้น้ำตาลทรายในการประกอบอาหารแล้ว ยังมีน้ำตาลอีกหลายชนิด เช่น น้ำตาลมะพร้าว น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลโตนด น้ำตาลงบ ฯลฯ
รสเปรี้ยว
อาหารไทยนอกจากจะได้จากน้ำส้มสายชู แล้วยังมีมะนาว และที่นำมาใช้ประกอบอาหารกันมาก โดยที่ประเทศอื่น ๆ ไม่มีใช้ก็คือ ความเปรี้ยวที่ได้จากน้ำส้มมะขามเปียก น้ำมะกรูด น้ำส้มซ่า นอกจากนั้นรสเปรี้ยวจากใบมะขามอ่อน ใบมะดัน ใบส้มป่อย มะดัน ซึ่งรสเปรี้ยวจากสิ่งเหล่านี้มีแต่ในอาหารไทย
รสเผ็ด
รสชาติอาหารของประเทศใดก็ไม่เผ็ดร้อนเหมือนอาหารไทย รสเผ็ดที่ได้จากอาหาร มาจากพริกขี้หนู พริกชี้ฟ้าสด เรายังนำมาตากแห้งเป็นพริกแห้ง คั่วแล้วป่นเป็นพริกป่น รสเผ็ดเป็นรสที่อาหารไทยจะขาดไม่ได้ในการประกอบอาหารคาวชนิดที่ต้องมีรสเผ็ด การจะใส่พริกมากน้อยขึ้นอยู่กับความต้องการรสของผู้บริโภค
รสมัน
อาหารไทย ได้รสมันจากกะทิและน้ำมันเป็นส่วนใหญ่ ในการประกอบอาหารไทยโดยเฉพาะอาหารประเภทแกงกับขนมไทย ความมันที่ได้จะมาจากแกงที่ใส่กะทิ เช่นแกงหมูเทโพ แกงเขียวหวาน ขนมชั้น ตะโก้ ฯลฯ ฉะนั้นรสชาติของอาหารไทย จึงมีความกลมกล่อมจากรสชาติต่าง ๆ
1. ประเภทแกงชนิดต่าง ๆ
แกงเผ็ด แกงคั่ว แกงป่า แกงจืด ต้มยำ ผัดเผ็ด ฉู่ฉี่
2. ประเภทเครื่องจิ้มต่าง ๆ
3. ประเภทยำ
4. ประเภทอาหารว่าง
5. ประเภทของหวาน
พริก ต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก
พริก ต้านมะเร็งต่อมลูกหมาก
การวิจัยในหนูทดลอง (ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Research) พบว่าสารแคปไซซิน (capsaicin) หรือสารเผ็ดในพริก ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งที่ต่อมลูกหมากได้ โดยหนูที่ได้รับแคปไซซินมีขนาดเซลล์มะเร็งเล็กเพียง 1/5 ของเซลล์มะเร็งในหนูที่ไม่ได้รับแคปไซซิน
ผลการวิจัยนี้จะใช้ได้กับคนหรือไม่ ยังต้องรอพิสูจน์กันต่อไป แต่ถ้าใครใจร้อนอยากกินพริกต้านมะเร็งต่อมลูกหมากให้ได้ผลอย่างหนูทดลองบ้าง นักวิจัยก็แย้มว่าให้กินพริกเท่ากับหนู คือ สารแคปไซซินขนาด 400 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เทียบได้กับพริกเม็กซิกันประมาณ 3-8 เม็ด ขึ้นกับว่าแต่ละเม็ดจะเผ็ดแค่ไหน
การวิจัยในหนูทดลอง (ตีพิมพ์ในวารสาร Cancer Research) พบว่าสารแคปไซซิน (capsaicin) หรือสารเผ็ดในพริก ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งที่ต่อมลูกหมากได้ โดยหนูที่ได้รับแคปไซซินมีขนาดเซลล์มะเร็งเล็กเพียง 1/5 ของเซลล์มะเร็งในหนูที่ไม่ได้รับแคปไซซิน
ผลการวิจัยนี้จะใช้ได้กับคนหรือไม่ ยังต้องรอพิสูจน์กันต่อไป แต่ถ้าใครใจร้อนอยากกินพริกต้านมะเร็งต่อมลูกหมากให้ได้ผลอย่างหนูทดลองบ้าง นักวิจัยก็แย้มว่าให้กินพริกเท่ากับหนู คือ สารแคปไซซินขนาด 400 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เทียบได้กับพริกเม็กซิกันประมาณ 3-8 เม็ด ขึ้นกับว่าแต่ละเม็ดจะเผ็ดแค่ไหน
ทำอย่างไรเมื่ออาหารไม่ย่อย
ทำอย่างไรเมื่ออาหารไม่ย่อย
อีกเรื่องที่เป็นปัญหาหลังการกินข้าวก็คืออาการ "อาหารไม่ย่อย" ซึ่งทางแก้นอกจากจะกินแต่พออิ่มแล้วเรายังมีอีกหลายเคล็ดลับมาฝากกัน อย่างในตำราเก่าแก่เขาว่าให้ดื่มน้ำขิงร้อนๆนั้นก็ยังใช้ได้ผลดีอยู่ หรือถ้าเป็นคาโมไมล์ชงดื่มแทนชาวันละ 3 ถ้วยก่อนอาหารก็ช่วยได้เช่นเดียวกัน
หากเป็นตามตำราสมัยใหม่เขาก็แนะให้กินน้ำมันเปปเปอร์มินต์ที่มีขายในรูปของแคปซูล หลังอาหารก็จะสามารถช่วยได้ แต่ในรายที่มีอาการจุกแน่นหน้าอกอยู่ก่อนควรหลีกเลี่ยงเจ้าเปปเปอร์มิ้นต์นี้โดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการมากขึ้น แต่ถ้าใครไม่ใคร่จะกินในแบบแคปซูล การตบท้ายมื้ออาหารด้วยชาเปปเปอร์มินต์สักถ้วยก็ช่วยให้ท้องผ่อนคลายได้มากทีเดียวหรือถ้าจะใช้สะระแหน่ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกับเปปเปอร์มินต์ก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดเขาแนะนำว่าให้เคี้ยวสะระแหน่สดๆกันไปเลย
แต่ท้ายสุดแล้วคงไม่มีวิธีไหนดีเท่ากับเคี้ยวอย่างช้าๆและไม่ใช่ประเภทกินปุ๊บเข้านอนปั๊บเป็นใช้ได้ อย่างน้อยกินก่อนเข้านอนสัก 3 ชั่วโมง ก็จะไดผลดีทั้งระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
อีกเรื่องที่เป็นปัญหาหลังการกินข้าวก็คืออาการ "อาหารไม่ย่อย" ซึ่งทางแก้นอกจากจะกินแต่พออิ่มแล้วเรายังมีอีกหลายเคล็ดลับมาฝากกัน อย่างในตำราเก่าแก่เขาว่าให้ดื่มน้ำขิงร้อนๆนั้นก็ยังใช้ได้ผลดีอยู่ หรือถ้าเป็นคาโมไมล์ชงดื่มแทนชาวันละ 3 ถ้วยก่อนอาหารก็ช่วยได้เช่นเดียวกัน
หากเป็นตามตำราสมัยใหม่เขาก็แนะให้กินน้ำมันเปปเปอร์มินต์ที่มีขายในรูปของแคปซูล หลังอาหารก็จะสามารถช่วยได้ แต่ในรายที่มีอาการจุกแน่นหน้าอกอยู่ก่อนควรหลีกเลี่ยงเจ้าเปปเปอร์มิ้นต์นี้โดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการมากขึ้น แต่ถ้าใครไม่ใคร่จะกินในแบบแคปซูล การตบท้ายมื้ออาหารด้วยชาเปปเปอร์มินต์สักถ้วยก็ช่วยให้ท้องผ่อนคลายได้มากทีเดียวหรือถ้าจะใช้สะระแหน่ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกับเปปเปอร์มินต์ก็ได้ผลเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดเขาแนะนำว่าให้เคี้ยวสะระแหน่สดๆกันไปเลย
แต่ท้ายสุดแล้วคงไม่มีวิธีไหนดีเท่ากับเคี้ยวอย่างช้าๆและไม่ใช่ประเภทกินปุ๊บเข้านอนปั๊บเป็นใช้ได้ อย่างน้อยกินก่อนเข้านอนสัก 3 ชั่วโมง ก็จะไดผลดีทั้งระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปกติ
2008-10-24
5 สิ่งน่ารู้เกี่ยวกับพริกป่น
เรารับประทานพริกป่นเป็นอาหารหลักกันมานมนาน คุณเคยรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของพริกป่นบ้างไหมคะ...การค้นพบนี้ต่างประเทศเขาตื่นเต้นกันยกใหญ่ เสียแต่เขามีข้อจำกัดที่แพ้รสเผ็ดร้อนของพริกกัน ซึ่งเทียบกับเราแล้วถือว่าได้เปรียบมาก
1. ในพริกป่นมีทั้งรสและกลิ่นเผ็ดร้อนที่ช่วยให้เกิดอาการตื่นตัว ซึ่งส่วนประกอบในพริกที่ทำเรารู้สึกอย่างนั้นก็คือ capsaicin
2. มีการศึกษาพบว่า capsaicin ในพริกมีความสามารถในการกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ดีภายในร่างกาย ซึ่งอีกไม่นานจะมีการแนะนำให้ใช้ capsaicin ในการรักษามะเร็ง นับเป็นการบำบัดแบบใหม่ที่มีทิศทางที่ดีในอนาคต
3. พริกป่นมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ของกล้ามเนื้อหลังได้ดี คุณสามารถบำบัดอาการปวดเมื่อย ได้ที่บ้านด้วยการใช้พริกป่นใส่ลงในอาหารที่รับประทาน
4. พริกป่นช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติหลังจากมื้ออาหารที่คุณตัดลดคาร์โบไฮเดรตลงไป เพราะฉะนั้นจึงมีการศึกษาเพื่อจะใช้พริกป่นมาช่วยในการบำบัดรักษาโรคอ้วนอยู่ในขณะนี้
5. ส่วนผสมอันดับหนึ่งที่ช่วยในการทำความสะอาด หรือดีท็อกซ์ร่างกายก็คือพริกป่น เพราะในพริกป่นมีสารที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการทำความสะอาดร่างกายด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยยับยั้งเมือกที่จับอยู่ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วยอย่างนี้ต้องหาอาหารแซ่บด้วยพริกป่น มารับประทาน กันแล้วละค่ะ...
ที่มา : นิตยสาร ขวัญเรือน
เรารับประทานพริกป่นเป็นอาหารหลักกันมานมนาน คุณเคยรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของพริกป่นบ้างไหมคะ...การค้นพบนี้ต่างประเทศเขาตื่นเต้นกันยกใหญ่ เสียแต่เขามีข้อจำกัดที่แพ้รสเผ็ดร้อนของพริกกัน ซึ่งเทียบกับเราแล้วถือว่าได้เปรียบมาก
1. ในพริกป่นมีทั้งรสและกลิ่นเผ็ดร้อนที่ช่วยให้เกิดอาการตื่นตัว ซึ่งส่วนประกอบในพริกที่ทำเรารู้สึกอย่างนั้นก็คือ capsaicin
2. มีการศึกษาพบว่า capsaicin ในพริกมีความสามารถในการกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยไม่ทำลายเซลล์ดีภายในร่างกาย ซึ่งอีกไม่นานจะมีการแนะนำให้ใช้ capsaicin ในการรักษามะเร็ง นับเป็นการบำบัดแบบใหม่ที่มีทิศทางที่ดีในอนาคต
3. พริกป่นมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย ของกล้ามเนื้อหลังได้ดี คุณสามารถบำบัดอาการปวดเมื่อย ได้ที่บ้านด้วยการใช้พริกป่นใส่ลงในอาหารที่รับประทาน
4. พริกป่นช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติหลังจากมื้ออาหารที่คุณตัดลดคาร์โบไฮเดรตลงไป เพราะฉะนั้นจึงมีการศึกษาเพื่อจะใช้พริกป่นมาช่วยในการบำบัดรักษาโรคอ้วนอยู่ในขณะนี้
5. ส่วนผสมอันดับหนึ่งที่ช่วยในการทำความสะอาด หรือดีท็อกซ์ร่างกายก็คือพริกป่น เพราะในพริกป่นมีสารที่ช่วยกระตุ้นกระบวนการทำความสะอาดร่างกายด้วยตัวเอง ทั้งยังช่วยยับยั้งเมือกที่จับอยู่ภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ด้วยอย่างนี้ต้องหาอาหารแซ่บด้วยพริกป่น มารับประทาน กันแล้วละค่ะ...
ที่มา : นิตยสาร ขวัญเรือน
จิ้มจุ่ม อร่อยอย่างมีคุณค่า
จิ้มจุ่ม อร่อยอย่างมีคุณค่า
อยากรับประทานอาหารประเภทจิ้มจุ่ม แต่ไม่อยากไปรับประทานนอกบ้าน ถามว่าเพราะอะไร ได้รับคำตอบว่า เนื้อสัตว์ไม่น่ารับประทาน ผักจะเป็นกะหล่ำปลีเสียส่วนใหญ่ อาจจะมีบางครั้งที่จัดเป็นโอกาสพิเศษในบ้าน โดยลูกๆให้ความร่วมมือ จึงต้องอร่อยด้วย มีคุณค่าด้วย อิ่มด้วย สุดท้ายต้องประหยัดการเลือกซื้ออาหารสดอาหารแห้งก่อนปรุง สิ่งสำคัญก็คงจะเป็นเนื้อสัตว์ ควรจะมีเนื้อไก่ เนื้อหมู ลูกชิ้นปลา ตับหมู ส่วนผักพวกกะหล่ำปลี ผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย ต้นหอม คะน้า อย่าลืมซื้อซี่โครงไก่มาทำน้ำซุป มีหัวผักกาดขาว กุ้งแห้ง เกลือ น้ำปลา รากผักชี พริกไทยจากเครื่องปรุงทั้งหลายบางท่านอาจจะคิดว่าแพงไหมนี่ แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าหรือไม่
1. ทุกคนในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกัน แม่ได้สอนลูกๆทำอาหารไปด้วย
2. ประหยัดไม่ต้องออกจากบ้าน ทุกคนอิ่มอร่อย ได้อาหารที่คุณค่าราคาเหมาะสม3. อาหารสะอาด ปลอดภัย ได้ลงมือทำเองทุกอย่าง4. เลือกอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้อยู่ในบ้าน แต่ถ้าสมาชิกในบ้านถูกใจ คงจะต้องจัดหาไว้ เช่น หม้อไฟฟ้าสำหรับต้มน้ำ กระชอนเล็กสำหรับลวกเนื้อสัตว์ ตะเกียบ ราคาไม่แพงมาก
ส่วนผสม
เนื้อสัตว์ เนื้อไก่และเนื้อหมู 1/2 กิโลกรัม
ตับหมู 400 กรัม
ลูกชิ้นปลา 50 ลูก
ผักสด กะหล่ำปลี 2 หัว 1 กิโลกรัม
ผักบุ้งจีน 1/2 กิโลกรัม
ขึ้นฉ่าย 300 กรัม
ต้นหอม 200 กรัม
คะน้า, เห็ดหอม 1/2 กิโลกรัม
น้ำซุปจากน้ำต้มกระดูกไก่จำนวนมาก ใส่หัวผักกาดขาว กุ้งแห้ง เกลือ กรองให้สะอาดน้ำปรุงรส
(น้ำจิ้มสุกี้ยากี้ น้ำจิ้มไก่ นมาปรุงตามชอบ)
วิธีทำ1. หั่นเนื้อไก่ เนื้อหมู ตับหมู ลูกชิ้นปลา เป็นชิ้นพอควร ใส่กล่องปิดฝา พักในตู้เย็นช่องธรรมดา
2. ล้างและหั่นผักขนาดเล็กใหญ่ตามความเหมาะสม
3. แบ่งน้ำซุปเป็น 2 หม้อ หม้อแรกตั้งไฟพอเดือด ลวกเนื้อสัตว์แต่ละชนิดใส่ถ้วย
4. ลวกผักในหม้อที่ 2 จัดใส่ถ้วยเนื้อสัตว์
- ระหว่างลวกผักก็ต้องเตรียมน้ำจิ้มใส่ถ้วยไว้ จุ่มลวกไป จิ้มน้ำจิ้มไป รับประทานไป เติมรสชาติด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายเล็กน้อย ไม่ควรลวกเนื้อสัตว์และผักในหม้อเดียวกัน สามารเป็นอาหารมื้อกลางวันในวันหยุดได้ ถ้ามีน้ำจิ้มเตียมไว้ จะรับประทานเมื่อไหร่ก็ไม่ยุ่งยาก พวกเนื้อสัตว์และผักก็ต้องเตรียมใหม่ๆอยู่แล้ว
อยากรับประทานอาหารประเภทจิ้มจุ่ม แต่ไม่อยากไปรับประทานนอกบ้าน ถามว่าเพราะอะไร ได้รับคำตอบว่า เนื้อสัตว์ไม่น่ารับประทาน ผักจะเป็นกะหล่ำปลีเสียส่วนใหญ่ อาจจะมีบางครั้งที่จัดเป็นโอกาสพิเศษในบ้าน โดยลูกๆให้ความร่วมมือ จึงต้องอร่อยด้วย มีคุณค่าด้วย อิ่มด้วย สุดท้ายต้องประหยัดการเลือกซื้ออาหารสดอาหารแห้งก่อนปรุง สิ่งสำคัญก็คงจะเป็นเนื้อสัตว์ ควรจะมีเนื้อไก่ เนื้อหมู ลูกชิ้นปลา ตับหมู ส่วนผักพวกกะหล่ำปลี ผักบุ้ง ขึ้นฉ่าย ต้นหอม คะน้า อย่าลืมซื้อซี่โครงไก่มาทำน้ำซุป มีหัวผักกาดขาว กุ้งแห้ง เกลือ น้ำปลา รากผักชี พริกไทยจากเครื่องปรุงทั้งหลายบางท่านอาจจะคิดว่าแพงไหมนี่ แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าหรือไม่
1. ทุกคนในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกัน แม่ได้สอนลูกๆทำอาหารไปด้วย
2. ประหยัดไม่ต้องออกจากบ้าน ทุกคนอิ่มอร่อย ได้อาหารที่คุณค่าราคาเหมาะสม3. อาหารสะอาด ปลอดภัย ได้ลงมือทำเองทุกอย่าง4. เลือกอุปกรณ์และเครื่องมือที่ใช้อยู่ในบ้าน แต่ถ้าสมาชิกในบ้านถูกใจ คงจะต้องจัดหาไว้ เช่น หม้อไฟฟ้าสำหรับต้มน้ำ กระชอนเล็กสำหรับลวกเนื้อสัตว์ ตะเกียบ ราคาไม่แพงมาก
ส่วนผสม
เนื้อสัตว์ เนื้อไก่และเนื้อหมู 1/2 กิโลกรัม
ตับหมู 400 กรัม
ลูกชิ้นปลา 50 ลูก
ผักสด กะหล่ำปลี 2 หัว 1 กิโลกรัม
ผักบุ้งจีน 1/2 กิโลกรัม
ขึ้นฉ่าย 300 กรัม
ต้นหอม 200 กรัม
คะน้า, เห็ดหอม 1/2 กิโลกรัม
น้ำซุปจากน้ำต้มกระดูกไก่จำนวนมาก ใส่หัวผักกาดขาว กุ้งแห้ง เกลือ กรองให้สะอาดน้ำปรุงรส
(น้ำจิ้มสุกี้ยากี้ น้ำจิ้มไก่ นมาปรุงตามชอบ)
วิธีทำ1. หั่นเนื้อไก่ เนื้อหมู ตับหมู ลูกชิ้นปลา เป็นชิ้นพอควร ใส่กล่องปิดฝา พักในตู้เย็นช่องธรรมดา
2. ล้างและหั่นผักขนาดเล็กใหญ่ตามความเหมาะสม
3. แบ่งน้ำซุปเป็น 2 หม้อ หม้อแรกตั้งไฟพอเดือด ลวกเนื้อสัตว์แต่ละชนิดใส่ถ้วย
4. ลวกผักในหม้อที่ 2 จัดใส่ถ้วยเนื้อสัตว์
- ระหว่างลวกผักก็ต้องเตรียมน้ำจิ้มใส่ถ้วยไว้ จุ่มลวกไป จิ้มน้ำจิ้มไป รับประทานไป เติมรสชาติด้วยซีอิ๊วขาว น้ำตาลทรายเล็กน้อย ไม่ควรลวกเนื้อสัตว์และผักในหม้อเดียวกัน สามารเป็นอาหารมื้อกลางวันในวันหยุดได้ ถ้ามีน้ำจิ้มเตียมไว้ จะรับประทานเมื่อไหร่ก็ไม่ยุ่งยาก พวกเนื้อสัตว์และผักก็ต้องเตรียมใหม่ๆอยู่แล้ว
2008-10-23
เต้าหู้บอลไส้บรอกโคลี
เต้าหู้บอลไส้บรอกโคลี
ส่วนผสม
บรอกโคลี (ดอกละ 100 กรัม)2 ดอก
เต้าหู้ชนิดแข็งปานกลาง (ก้อนละ 150 กรัม) 4 ก้อน
มายองเนส1 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1 ช้อนชา
แป้งทอดกรอบ 3/4 ถ้วย
ไข่แดง 2 ฟอง
ไข่ไก่ 2 ฟอง
เกล็ดขนมปัง 2 ถ้วย
น้ำมันพืช4 ถ้วย
** ตีไข่แดงกับไข่ไก่เข้าด้วยกันมายองเนส (ปริมาณ 3/4 ถ้วย)
น้ำส้มสายชู1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายชนิดไม่ฟอก 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำบด 1/4 ช้อนชา
ไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง
ดิจองมัสตาร์ด 1 ช้อนชา
น้ำมันถั่วเหลือง1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1. ทำมายองเนสโดยผสมน้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำตาล เกลือ และพริกไทย เข้าด้วยกันในถ้วย จากนั้นตีไข่แดงในชามแก้วจนมีสีครีมนวล ใส่ดิจองมัสตาร์ด ตีจนเข้ากัน ค่อยๆใส่น้ำมันทีละน้อย สลับกับน้ำส้มสายชูที่ผสม จบด้วยการใส่น้ำมัน
2. ล้างบรอกโคลี หั่นเป็นดอกเล็กๆใส่ลงลวกในหม้อน้ำเดือดที่ใส่เกลือเล็กน้อยจนสุกเขียว ตักขึ้นแช่น้ำแข็งจนเย็น สงขึ้นพักไว้
3. ต้มเต้าหู้ในหม้อน้ำเดือดจนสุกลอย ตักขึ้นแช่น้ำเย็น ซับให้แห้ง ใส่ในอ่างผสม ยีให้ละเอียด ใส่มายองเนส เกลือ พริกไทยดำ ผสมเข้ากันดี ปั้นเป็นก้อน 25 ก้อน
4. นำเต้าหู้ที่ทำแต่ละก้อนมาหุ้มบรอกโคลีลวก จากนั้นคลุกแป้งทอดกรอบให้ทั่วแล้วชุบไข่ จากนั้นคลุกเกร็ดขนมปังจนทั่ว นำเข้าแช่ในตู้เย็น (เพื่อให้เกล็ดขนาปังเกาะดี)
5. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่เต้าหู้บอลไส้บรอกโคลีลงทอด ลดเป็นไฟอ่อน ทอดจนเหลืองทั่ว ตักใส่กระดาษซับน้ำมัน จัดใส่จานที่รองด้วยผักการดแก้วและกะหล่ำปลี ตกแต่งด้วยเลมอน เสิร์ฟร้อนๆ
ส่วนผสม
บรอกโคลี (ดอกละ 100 กรัม)2 ดอก
เต้าหู้ชนิดแข็งปานกลาง (ก้อนละ 150 กรัม) 4 ก้อน
มายองเนส1 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1 ช้อนชา
แป้งทอดกรอบ 3/4 ถ้วย
ไข่แดง 2 ฟอง
ไข่ไก่ 2 ฟอง
เกล็ดขนมปัง 2 ถ้วย
น้ำมันพืช4 ถ้วย
** ตีไข่แดงกับไข่ไก่เข้าด้วยกันมายองเนส (ปริมาณ 3/4 ถ้วย)
น้ำส้มสายชู1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายชนิดไม่ฟอก 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำบด 1/4 ช้อนชา
ไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง
ดิจองมัสตาร์ด 1 ช้อนชา
น้ำมันถั่วเหลือง1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1. ทำมายองเนสโดยผสมน้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำตาล เกลือ และพริกไทย เข้าด้วยกันในถ้วย จากนั้นตีไข่แดงในชามแก้วจนมีสีครีมนวล ใส่ดิจองมัสตาร์ด ตีจนเข้ากัน ค่อยๆใส่น้ำมันทีละน้อย สลับกับน้ำส้มสายชูที่ผสม จบด้วยการใส่น้ำมัน
2. ล้างบรอกโคลี หั่นเป็นดอกเล็กๆใส่ลงลวกในหม้อน้ำเดือดที่ใส่เกลือเล็กน้อยจนสุกเขียว ตักขึ้นแช่น้ำแข็งจนเย็น สงขึ้นพักไว้
3. ต้มเต้าหู้ในหม้อน้ำเดือดจนสุกลอย ตักขึ้นแช่น้ำเย็น ซับให้แห้ง ใส่ในอ่างผสม ยีให้ละเอียด ใส่มายองเนส เกลือ พริกไทยดำ ผสมเข้ากันดี ปั้นเป็นก้อน 25 ก้อน
4. นำเต้าหู้ที่ทำแต่ละก้อนมาหุ้มบรอกโคลีลวก จากนั้นคลุกแป้งทอดกรอบให้ทั่วแล้วชุบไข่ จากนั้นคลุกเกร็ดขนมปังจนทั่ว นำเข้าแช่ในตู้เย็น (เพื่อให้เกล็ดขนาปังเกาะดี)
5. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่เต้าหู้บอลไส้บรอกโคลีลงทอด ลดเป็นไฟอ่อน ทอดจนเหลืองทั่ว ตักใส่กระดาษซับน้ำมัน จัดใส่จานที่รองด้วยผักการดแก้วและกะหล่ำปลี ตกแต่งด้วยเลมอน เสิร์ฟร้อนๆ
ชวนกันกินผัก
อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย ผักเป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญที่พบมากในผักทุกชนิดคือ "กากใย" (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้และไม่ให้พลังงาน กากใยมีประโยชน์อย่างไร
1. ช่วยลดความอ้วนเพราะให้พลังงานน้อย และจะเข้าไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นาน ช่วยลดความอยากอาหารลงไป เราสามารถลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารได้จึงส่งผลให้ลดน้ำหนักได้
2. ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล จึงช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จนสามารถช่วยลดการใช้ปริมาณอินซูลินในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และยังค้นพบอีกว่าคนที่รับประทานใยพืชมากๆ จะช่วยลดโอกาสการเป็นเบาหวาน
3. ช่วยลดการดูดซึมไขมันและโคเลสเตอรอล
4. กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก อีกทั้งยังช่วยลดการเก็บกักของเสียในร่างกาย ลดการหมักหมมของเสียในลำไส้ ลดโอกาสการดูดซับสารพิษจากของเสียเข้าสู่ร่างกาย และที่สำคัญมันช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยเช่นกัน
5. ลดอัตราเสี่ยงจากไขมันอุดตันหลอดเลือด และช่วยลดความดันโลหิต มีรายงานการศึกษาวิจัยจากวารสาร Archives of Internal Medicine พบว่าคนที่ชอบรับประทานอาหารพวกผักหรือเมล็ดธัญญพืชมากๆ มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ชอบรับประทานพวกเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพในด้านลดความดันโลหิตลงมา ซึ่งจะส่งผลให้ลดอาการป่วยที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวาย เป็นต้น
6. ช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง เป็นต้น
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ผักชนิดต่างๆ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนออกมาให้เรากินกันตลอดทั้งปี ซึ่งผักตามฤดูกาลนั้น มีคุณภาพ อร่อย ราคาถูกตัวอย่างผักตามฤดูกาลที่มาแนะนำกันเพื่อสุขภาพ
มกราคม เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า) มะเขือเทศ ถั่วลันเตา คะน้า ข้าวโพดฝักอ่อน ฟักทอง ผักกาดขาว
กุมภาพันธ์ เช่น ข้าวโพดฝักอ่อน ถั่วฝักยาว ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า) ผักบุ้งจีน บวบ คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
มีนาคม เช่น ถั่วฝักยาว ผักบุ้งจีน บวบ คะน้า ฟักเขียว ฟักทอง
เมษายน เช่น ถั่วฝักยาว ผักบุ้งจีน บวบ คะน้า ฟักทอง
พฤษภาคม เช่น มะระจีน ชะอม ฟักทอง ผักบุ้งจีน ช้าพลู บวบ มะนาว ถั่วฝักยาว
มิถุนายน เช่น มะนาว มะระจีน บวบ ถั่วฝักยาว กุยช่าย ชะอม ผักบุ้งจีน ช้าพลู ยอดตำลึง
กรกฎาคม เช่น สะตอ ถั่วฝักยาว ยอดตำลึง ชะอม กุยช่าย มะระจีน มะนาว ช้าพลู บวบ
สิงหาคม เช่น ยอดตำลึง ข้าวโพดฝักอ่อน กุยช่าย บวบ มะระจีน สะตอ ชะอม ถั่วฝักยาว
กันยายน เช่น ชะอม ยอดตำลึง กุยช่าย ถั่วฝักยาว บวบ มะระจีน ข้าวโพดฝักอ่อน
ตุลาคม เช่น ข้าวโพดฝักอ่อน ถั่วฝักยาว ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า) คะน้า กะหล่ำดอก มะระจีน พฤศจิกายน เช่น คะน้า มะเขือเทศ ข้าวโพดฝักอ่อน ผักกาดขาว แครอท ฟักทอง กะหล่ำดอก ถั่วฝักยาว ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า)
ธันวาคม เช่น ข้าวโพดฝักอ่อน แครอท ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ถั่วลันเตา ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า) คะน้า กะหล่ำดอก มะเขือเทศ ฟักทอง
การรับประทานพืชผักตามธาตุเจ้าเรือนในทฤษฎีแพทย์แผนไทย
พืชผักสำหรับคนธาตุดิน คือ คนที่เกิดเดือน 11 12 และ 1 หรือเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม รสฝาดหวาน มัน และเค็ม เช่น ถั่วต่างๆ เผือก หัวมันเทศ ฟักทอง กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะยม สมอไทย กระถินไทย ผักหวาน ขนุนอ่อน สะตอ ผักโขม โสน ขจร ผักเซียงดา ลูกเนี่ยงนก บวบเหลี่ยม บวบงู บวบหอม เป็นต้น
พืชผักสำหรับคนธาตุน้ำ คือ คนที่เกิดเดือน 8 9 10 หรือ หรือเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน
รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะยม มะกอก มะดัน กระท้อน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะอึก มะเขือเครือ มะแว้ง เป็นต้น พืชผักสำหรับคนธาตุลม คือ คนที่เกิดเดือน 5 6 7 หรือเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน
รสเผ็ดร้อน เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย โหระพา กะทือ ดอกกระเจียว ขมิ้นชัน ผักคราด ช้าพลู ผักไผ่ พริกขี้หนู สะระแหน่ หูเสือ ผักแขยง ผักชีลาว ผักชีล้อม ยี่หร่า สมอไทย กานพลู เป็นต้นพืชผักสำหรับคนธาตุไฟ คือ คนที่เกิดเดือน 2 3 4 หรือเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม รสขม เย็น และจืด เช่น ตำลึง ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักกระสัง สายบัว ผักกาดจีน มะระ ผักปรัง มะรุม มะเขือยาว กระเจี๊ยบมอญ สะเดา ยอดฟักทอง มะเขือยาว กุยช่าย ฟักแฟง แตงทั้งหลาย
ทุกคนควรรับประทานอาหารและพืชผักหลากรสเพื่อบำรุงธาตุทั้ง 4 แต่ต้องเน้นธาตุเจ้าเรือนและธาตุที่เป็นจุดอ่อนสำหรับตัวเรา ซึ่งอาหารไทยนั้นมีหลายรสและสามารถปรับให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนหรืออาการของโรคได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันอาหารไทยได้รับความนิยมไปทั่วโลกก็เพราะรสอันหลากหลายและมีสรรพคุณด้วย เช่น
รสฝาด มีสรรพคุณแก้ในการสมานแผล แก้ท้องร่วง บิด บำรุงธาตุ เช่น ยอกจิก ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดฝรั่ง ผักกระโดน ยอดเสม็ด เป็นต้น
รสหวาน มีสรรพคุณซึมซาบไปตามเนื้อ ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย แต่ทานมากเกินไปจะแสลงโรคเบาหวาน เสมหะเฟื่อง แสลงบาดแผล เช่น เห็ด หน่อไม้ ผลฟักข้าว ผักขี้หูด เป็นต้น
รสมัน มีสรรพคุณแก้เส้นเอ็นพิการ บำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น บำรุงเยื่อกระดูก เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เหนียง บัวบก ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง เป็นต้น รสเปรี้ยว มีสรรพคุณแก้ทางเสมหะ ฟอกโลหิต ระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน ยอดชะมวง มะเฟือง มะเขือเทศ เป็นต้น
รสขม มีสรรพคุณบำรุงโลหิตและน้ำดี เช่น มะระขี้นก ยอดหวาย ดอกขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา ผักโขม ยอดมะรุม เป็นต้นรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณแก้ลมจุกเสียดแน่นเฟ้อ ขับผายลม บำรุงธาตุ เช่น ใบแมงลัก ใบโหระพา ใบช้าพลู ขิง ข่า ขมิ้น เป็นต้น
ที่มา :: นิตยสารหญิงไทย
อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย ผักเป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญที่พบมากในผักทุกชนิดคือ "กากใย" (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้และไม่ให้พลังงาน กากใยมีประโยชน์อย่างไร
1. ช่วยลดความอ้วนเพราะให้พลังงานน้อย และจะเข้าไปแย่งพื้นที่ในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เรารู้สึกอิ่มได้เร็วและอิ่มได้นาน ช่วยลดความอยากอาหารลงไป เราสามารถลดพลังงานที่จะได้รับจากอาหารได้จึงส่งผลให้ลดน้ำหนักได้
2. ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล จึงช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จนสามารถช่วยลดการใช้ปริมาณอินซูลินในการรักษาระดับน้ำตาลในเลือด และยังค้นพบอีกว่าคนที่รับประทานใยพืชมากๆ จะช่วยลดโอกาสการเป็นเบาหวาน
3. ช่วยลดการดูดซึมไขมันและโคเลสเตอรอล
4. กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก อีกทั้งยังช่วยลดการเก็บกักของเสียในร่างกาย ลดการหมักหมมของเสียในลำไส้ ลดโอกาสการดูดซับสารพิษจากของเสียเข้าสู่ร่างกาย และที่สำคัญมันช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยเช่นกัน
5. ลดอัตราเสี่ยงจากไขมันอุดตันหลอดเลือด และช่วยลดความดันโลหิต มีรายงานการศึกษาวิจัยจากวารสาร Archives of Internal Medicine พบว่าคนที่ชอบรับประทานอาหารพวกผักหรือเมล็ดธัญญพืชมากๆ มีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ชอบรับประทานพวกเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขภาพในด้านลดความดันโลหิตลงมา ซึ่งจะส่งผลให้ลดอาการป่วยที่เกี่ยวข้อง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวาย เป็นต้น
6. ช่วยป้องกันหรือลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง เป็นต้น
ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ผักชนิดต่างๆ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนออกมาให้เรากินกันตลอดทั้งปี ซึ่งผักตามฤดูกาลนั้น มีคุณภาพ อร่อย ราคาถูกตัวอย่างผักตามฤดูกาลที่มาแนะนำกันเพื่อสุขภาพ
มกราคม เช่น กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า) มะเขือเทศ ถั่วลันเตา คะน้า ข้าวโพดฝักอ่อน ฟักทอง ผักกาดขาว
กุมภาพันธ์ เช่น ข้าวโพดฝักอ่อน ถั่วฝักยาว ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า) ผักบุ้งจีน บวบ คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก
มีนาคม เช่น ถั่วฝักยาว ผักบุ้งจีน บวบ คะน้า ฟักเขียว ฟักทอง
เมษายน เช่น ถั่วฝักยาว ผักบุ้งจีน บวบ คะน้า ฟักทอง
พฤษภาคม เช่น มะระจีน ชะอม ฟักทอง ผักบุ้งจีน ช้าพลู บวบ มะนาว ถั่วฝักยาว
มิถุนายน เช่น มะนาว มะระจีน บวบ ถั่วฝักยาว กุยช่าย ชะอม ผักบุ้งจีน ช้าพลู ยอดตำลึง
กรกฎาคม เช่น สะตอ ถั่วฝักยาว ยอดตำลึง ชะอม กุยช่าย มะระจีน มะนาว ช้าพลู บวบ
สิงหาคม เช่น ยอดตำลึง ข้าวโพดฝักอ่อน กุยช่าย บวบ มะระจีน สะตอ ชะอม ถั่วฝักยาว
กันยายน เช่น ชะอม ยอดตำลึง กุยช่าย ถั่วฝักยาว บวบ มะระจีน ข้าวโพดฝักอ่อน
ตุลาคม เช่น ข้าวโพดฝักอ่อน ถั่วฝักยาว ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า) คะน้า กะหล่ำดอก มะระจีน พฤศจิกายน เช่น คะน้า มะเขือเทศ ข้าวโพดฝักอ่อน ผักกาดขาว แครอท ฟักทอง กะหล่ำดอก ถั่วฝักยาว ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า)
ธันวาคม เช่น ข้าวโพดฝักอ่อน แครอท ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ถั่วลันเตา ผักกาดหัว(หัวไช้เท้า) คะน้า กะหล่ำดอก มะเขือเทศ ฟักทอง
การรับประทานพืชผักตามธาตุเจ้าเรือนในทฤษฎีแพทย์แผนไทย
พืชผักสำหรับคนธาตุดิน คือ คนที่เกิดเดือน 11 12 และ 1 หรือเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และธันวาคม รสฝาดหวาน มัน และเค็ม เช่น ถั่วต่างๆ เผือก หัวมันเทศ ฟักทอง กล้วยดิบ ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดมะยม สมอไทย กระถินไทย ผักหวาน ขนุนอ่อน สะตอ ผักโขม โสน ขจร ผักเซียงดา ลูกเนี่ยงนก บวบเหลี่ยม บวบงู บวบหอม เป็นต้น
พืชผักสำหรับคนธาตุน้ำ คือ คนที่เกิดเดือน 8 9 10 หรือ หรือเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน
รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม สับปะรด มะเขือเทศ มะยม มะกอก มะดัน กระท้อน ชะมวง ผักติ้ว ยอดมะกอก ยอดมะขาม มะอึก มะเขือเครือ มะแว้ง เป็นต้น พืชผักสำหรับคนธาตุลม คือ คนที่เกิดเดือน 5 6 7 หรือเดือนเมษายน พฤษภาคม และมิถุนายน
รสเผ็ดร้อน เช่น ขิง ข่า ตะไคร้ กระชาย พริกไทย โหระพา กะทือ ดอกกระเจียว ขมิ้นชัน ผักคราด ช้าพลู ผักไผ่ พริกขี้หนู สะระแหน่ หูเสือ ผักแขยง ผักชีลาว ผักชีล้อม ยี่หร่า สมอไทย กานพลู เป็นต้นพืชผักสำหรับคนธาตุไฟ คือ คนที่เกิดเดือน 2 3 4 หรือเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม รสขม เย็น และจืด เช่น ตำลึง ผักบุ้ง ผักกระเฉด ผักกระสัง สายบัว ผักกาดจีน มะระ ผักปรัง มะรุม มะเขือยาว กระเจี๊ยบมอญ สะเดา ยอดฟักทอง มะเขือยาว กุยช่าย ฟักแฟง แตงทั้งหลาย
ทุกคนควรรับประทานอาหารและพืชผักหลากรสเพื่อบำรุงธาตุทั้ง 4 แต่ต้องเน้นธาตุเจ้าเรือนและธาตุที่เป็นจุดอ่อนสำหรับตัวเรา ซึ่งอาหารไทยนั้นมีหลายรสและสามารถปรับให้สอดคล้องกับธาตุเจ้าเรือนหรืออาการของโรคได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันอาหารไทยได้รับความนิยมไปทั่วโลกก็เพราะรสอันหลากหลายและมีสรรพคุณด้วย เช่น
รสฝาด มีสรรพคุณแก้ในการสมานแผล แก้ท้องร่วง บิด บำรุงธาตุ เช่น ยอกจิก ยอดมะม่วงหิมพานต์ ยอดฝรั่ง ผักกระโดน ยอดเสม็ด เป็นต้น
รสหวาน มีสรรพคุณซึมซาบไปตามเนื้อ ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย แต่ทานมากเกินไปจะแสลงโรคเบาหวาน เสมหะเฟื่อง แสลงบาดแผล เช่น เห็ด หน่อไม้ ผลฟักข้าว ผักขี้หูด เป็นต้น
รสมัน มีสรรพคุณแก้เส้นเอ็นพิการ บำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น บำรุงเยื่อกระดูก เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น สะตอ เหนียง บัวบก ขนุนอ่อน ถั่วพู ฟักทอง เป็นต้น รสเปรี้ยว มีสรรพคุณแก้ทางเสมหะ ฟอกโลหิต ระบาย เช่น ยอดมะขามอ่อน ยอดชะมวง มะเฟือง มะเขือเทศ เป็นต้น
รสขม มีสรรพคุณบำรุงโลหิตและน้ำดี เช่น มะระขี้นก ยอดหวาย ดอกขี้เหล็ก ใบยอ สะเดา ผักโขม ยอดมะรุม เป็นต้นรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณแก้ลมจุกเสียดแน่นเฟ้อ ขับผายลม บำรุงธาตุ เช่น ใบแมงลัก ใบโหระพา ใบช้าพลู ขิง ข่า ขมิ้น เป็นต้น
ที่มา :: นิตยสารหญิงไทย
2008-10-22
น้ำสลัดเพื่อสุขภาพ
น้ำสลัดเพื่อสุขภาพ
1.มันฝรั่ง 100 กรัม
2.แครอทต้มสุก 50 กรัม
3.ฟักทองต้มสุก 50 กรัม
4.น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
5.นมสดพร่องมันเนย 1/4 ถ้วยตวง
6.น้ำตาล 2 ช้อนชา
7.เกลือป่น 2 ช้อนชา
8.น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
จ
ากนั้น ลงมือปรุง...
- นำมันฝรั่ง แครอท และฟักทองปั่นรวมกัน- เติมนมสดพร่องมันเนย และน้ำเปล่า
- นำส่วนผสมที่ได้ขึ้นตั้งไฟ พอเริ่มอุ่นให้ปรุงรสได้ตามต้องการ
ง่ายๆ แค่นี้ แถมยังใช้เวลาเพียงน้อยนิด คุณก็จะได้น้ำสลัดมาทานกับผักสด ช่างเป็นเมนูที่น่าอร่อย ได้สุขภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลด หรือควบคุมน้ำหนัก เพราะทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน (ถ้าทำตามสูตร) หากทำแล้วทานไม่หมด สามารถนำไปแช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้นานอีกต่างหาก
1.มันฝรั่ง 100 กรัม
2.แครอทต้มสุก 50 กรัม
3.ฟักทองต้มสุก 50 กรัม
4.น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง
5.นมสดพร่องมันเนย 1/4 ถ้วยตวง
6.น้ำตาล 2 ช้อนชา
7.เกลือป่น 2 ช้อนชา
8.น้ำมันพืช 1 ช้อนชา
จ
ากนั้น ลงมือปรุง...
- นำมันฝรั่ง แครอท และฟักทองปั่นรวมกัน- เติมนมสดพร่องมันเนย และน้ำเปล่า
- นำส่วนผสมที่ได้ขึ้นตั้งไฟ พอเริ่มอุ่นให้ปรุงรสได้ตามต้องการ
ง่ายๆ แค่นี้ แถมยังใช้เวลาเพียงน้อยนิด คุณก็จะได้น้ำสลัดมาทานกับผักสด ช่างเป็นเมนูที่น่าอร่อย ได้สุขภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลด หรือควบคุมน้ำหนัก เพราะทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน (ถ้าทำตามสูตร) หากทำแล้วทานไม่หมด สามารถนำไปแช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้นานอีกต่างหาก
สารพันคุณค่าจากเนื้อปลา
สารพันคุณค่าจากเนื้อปลา
เรื่อง ครรชิต จุดประสงค์สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย พักหลังๆ นักโภชนาการจึงแนะนำให้คนรับประทานปลากันมากๆ เพราะปลาเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และกรดไขมันพิเศษที่เรียกว่า “โอเมก้า-3” ค่อนข้างสูง ถ้าเป็นปลาเล็กปลาน้อยที่รับประทานทั้งกระดูกก็จะได้แคลเซียมปริมาณสูงแถมไปด้วย
แล้วเราจะทราบอย่างไรว่า…ควรรับประทานปลาปริมาณเท่าไรถึงจะพอเพียง
จริงๆ แล้วปริมาณอาหารที่พอเพียงเป็นทฤษฎีที่มีแต่นักโภชนาการเท่านั้นที่ทราบดี ว่าอาหารใดมีประโยชน์มากน้อยต่างกันอย่างไร การที่จะทราบปริมาณของสารอาหารได้ต้องผ่านการวิเคราะห์ทางเคมี แล้วยังต้องนำไปเทียบกับปริมาณที่รับประทานจริงในแต่ละครั้งอีกต่างหาก คนทั่วไปอย่างเราๆ ต้องอาศัยการกะปริมาณเอา อย่างง่ายๆ ในการรับประทานปลา คุณมักจะได้ยินการพูดถึง”ปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภค” อยู่เสมอๆ …แล้วมันเท่าไรกันละนี่ ก็ลองกะคร่าวๆ ได้เท่าๆ กับ 1/3 ถ้วยตวง ประมาณนั้น เหตุที่ใช้เป็นถ้วยตวง คงทำให้ง่ายขึ้น เพราะเป็นเครื่องครัวพื้นฐานที่มีเกือบทุกครัวเรือน และตำรับอาหารต่างๆ ก็กำหนดกันเป็นถ้วยตวงอยู่แล้ว
ในแต่ละวันคนเราในวัยทำงานจะต้องการโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้ามีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม จะต้องการโปรตีนวันละ 50 กรัม เป็นต้น ปริมาณโปรตีนในเนื้อปลาสุกมีค่าอยู่ระหว่าง 16-30 กรัมต่อ 100 กรัม (หรือ 9 –17 กรัมต่อ 1/3 ถ้วยตวง) ดังนั้นคนที่หนัก 50 กิโลกรัม แล้วต้องการโปรตีนจากปลาเพียงอย่างเดียวก็คงต้องรับประทานจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว ปกติปลามีส่วนที่รับประทานได้ประมาณร้อยละ 55-80 ในบรรดาปลาชนิดต่างๆ แนะนำว่าปลาสลิดตากแห้ง มีโปรตีนมากกว่าชนิดอื่น เมื่อเทียบกับแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ปลาดิบ ปลาต้ม และปลานึ่งทุกชนิดมีไขมันและพลังงานต่ำ ซึ่งปลาย่างและปลาทอดจะมีไขมันและพลังงานสูงกว่าอีกหน่อย
เมื่อคุณคิดจะรับประทานปลาให้มากขึ้นแล้ว…ลองมาดูกันว่ามีปลาชนิดไหนน่าเลือกรับประทานบ้าง โดยแบ่งประเภทปลาสดได้จากปริมาณไขมันในปลา คือ
- ปลาที่มีไขมันต่ำมาก (น้อยกว่า หรือเท่ากับ 2 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาไหล ปลากราย ปลานิล ประกะพงแดง และปลาเก๋า
- ปลาที่มีไขมันต่ำ (มากกว่า 2-4 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาทูนึ่ง ปลากะพงขาว ปลาจะละเม็ดดำ และปลาอินทรี
- ปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4-5 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจะละเม็ดขาว
- ปลาที่มีไขมันสูง (มากกว่า 8-20 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี
คงจะพอเลือกกันได้แล้วว่าปลาชนิดไหนเข้าตากรรมการบ้าง ไม่ว่าคุณจะเลือกรับประทานชนิดไหน คุณก็ยังจะได้สารอาหารที่มีคุณค่าอื่นๆ อีกมากมาย เพราะนอกจากจะมีโปรตีน และไขมันต่ำแล้วยังมีกรดไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลไม่สูงมากนัก อาหารบางชนิดอุดมด้วยสารสองชนิดนี้ จึงก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตันโดยเฉพาะหัวใจได้ แต่ในปลามีกรดไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลน้อยกว่า 25 % ของปริมาณที่สำนักงานอาหารและยาแนะนำให้บริโภคต่อวัน (น้อยกว่า 20 กรัม, Thai Recommended Daily Intake, Thai RDI) จึงน่าจะปลอดภัยใช้ได้ที่จะเลือกเป็นอาหารจานหลักประจำบ้าน
ในขณะเดียวกันในเนื้อปลาก็ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญอีกหลายชนิดด้วยกัน ทั้งโอเมก้า 3 เช่น กรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด… จะพบได้มากในปลาทะเล และปลาน้ำจืดที่นิยมเลี้ยงเพื่อจำหน่าย เช่น ปลาจะละเม็ดดำ ปลาจาระเม็ดขาว ปลากะพงขาว ปลาสวาย ปลาสลิด ปลาดุก และปลาช่อน เมื่อนำมาต้มหรือนึ่งจะให้กรดไขมันโอเมก้า 3 สูง คือ รับประทาน1/3 ถ้วยตวง (หนึ่งหน่วยบริโภค) จะให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ร้อยละ 54-120 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกา (600 มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อได้รับพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่) โดยเฉพาะปลาทอดด้วยน้ำมันพืช หรือปลาย่างจะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อยู่ ในระดับสูงมาก (คิดเป็นร้อยละ 67-287 ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน)
เมื่อรับประทานปลาเป็นประจำแล้วจะยังทำให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกและฟันที่เกิดจากการขาดธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กค่อนข้างสูงที่มีส่วนเสริมสร้างเลือด และที่สำคัญในปลากลับมีโซเดียม โปตัสเซียม และคลอไรด์ ที่มีผลก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงมีอยู่ในปลาปริมาณต่ำ ยกเว้นปลาบางชนิด เช่น ปลาสลิด ปลาทูนึ่ง หรือปลาที่ผ่านการหมักเกลือ หรือน้ำปลา เป็นต้น และถ้าเป็นปลาทะเล ก็ยังมีธาตุไอโอดีนแถมให้ไปช่วยป้องกันโรคคอพอก และบำรุงสมองในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายอีกด้วย
จากเรื่องราวของสารอาหารในเนื้อปลาชนิดต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ ปลา ได้รับยกย่องว่า เป็นแหล่งรวมของสารอาหารชั้นดีอันทรงคุณค่าชนิดหนึ่งเลยทีเดียว จากนี้ไปคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะลดเนื้อสัตว์ใหญ่ชนิดอื่นๆ ลงหันมารับประทานปลา ผักสด ผลไม่ให้มากขึ้นกันดีกว่า สิ่งที่จะได้กลับมาเห็นจะเป็น ความเสี่ยงต่อโรคภัยลดลง สุขภาพสดใสแข็งแรง กระฉับกระเฉงขึ้นแน่นอน แต่…อย่าลืมนะครับว่า รับประทานปลาที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น จะปลอดภัยจากพยาธิต่างๆ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ารับประทานอย่างชาญฉลาด
เรื่อง ครรชิต จุดประสงค์สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล
โรคหัวใจเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้ว และประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย พักหลังๆ นักโภชนาการจึงแนะนำให้คนรับประทานปลากันมากๆ เพราะปลาเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และกรดไขมันพิเศษที่เรียกว่า “โอเมก้า-3” ค่อนข้างสูง ถ้าเป็นปลาเล็กปลาน้อยที่รับประทานทั้งกระดูกก็จะได้แคลเซียมปริมาณสูงแถมไปด้วย
แล้วเราจะทราบอย่างไรว่า…ควรรับประทานปลาปริมาณเท่าไรถึงจะพอเพียง
จริงๆ แล้วปริมาณอาหารที่พอเพียงเป็นทฤษฎีที่มีแต่นักโภชนาการเท่านั้นที่ทราบดี ว่าอาหารใดมีประโยชน์มากน้อยต่างกันอย่างไร การที่จะทราบปริมาณของสารอาหารได้ต้องผ่านการวิเคราะห์ทางเคมี แล้วยังต้องนำไปเทียบกับปริมาณที่รับประทานจริงในแต่ละครั้งอีกต่างหาก คนทั่วไปอย่างเราๆ ต้องอาศัยการกะปริมาณเอา อย่างง่ายๆ ในการรับประทานปลา คุณมักจะได้ยินการพูดถึง”ปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภค” อยู่เสมอๆ …แล้วมันเท่าไรกันละนี่ ก็ลองกะคร่าวๆ ได้เท่าๆ กับ 1/3 ถ้วยตวง ประมาณนั้น เหตุที่ใช้เป็นถ้วยตวง คงทำให้ง่ายขึ้น เพราะเป็นเครื่องครัวพื้นฐานที่มีเกือบทุกครัวเรือน และตำรับอาหารต่างๆ ก็กำหนดกันเป็นถ้วยตวงอยู่แล้ว
ในแต่ละวันคนเราในวัยทำงานจะต้องการโปรตีนวันละ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้ามีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม จะต้องการโปรตีนวันละ 50 กรัม เป็นต้น ปริมาณโปรตีนในเนื้อปลาสุกมีค่าอยู่ระหว่าง 16-30 กรัมต่อ 100 กรัม (หรือ 9 –17 กรัมต่อ 1/3 ถ้วยตวง) ดังนั้นคนที่หนัก 50 กิโลกรัม แล้วต้องการโปรตีนจากปลาเพียงอย่างเดียวก็คงต้องรับประทานจำนวนเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว ปกติปลามีส่วนที่รับประทานได้ประมาณร้อยละ 55-80 ในบรรดาปลาชนิดต่างๆ แนะนำว่าปลาสลิดตากแห้ง มีโปรตีนมากกว่าชนิดอื่น เมื่อเทียบกับแหล่งโปรตีนจากเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ปลาดิบ ปลาต้ม และปลานึ่งทุกชนิดมีไขมันและพลังงานต่ำ ซึ่งปลาย่างและปลาทอดจะมีไขมันและพลังงานสูงกว่าอีกหน่อย
เมื่อคุณคิดจะรับประทานปลาให้มากขึ้นแล้ว…ลองมาดูกันว่ามีปลาชนิดไหนน่าเลือกรับประทานบ้าง โดยแบ่งประเภทปลาสดได้จากปริมาณไขมันในปลา คือ
- ปลาที่มีไขมันต่ำมาก (น้อยกว่า หรือเท่ากับ 2 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาไหล ปลากราย ปลานิล ประกะพงแดง และปลาเก๋า
- ปลาที่มีไขมันต่ำ (มากกว่า 2-4 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาทูนึ่ง ปลากะพงขาว ปลาจะละเม็ดดำ และปลาอินทรี
- ปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4-5 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจะละเม็ดขาว
- ปลาที่มีไขมันสูง (มากกว่า 8-20 กรัมต่อ 100 กรัม) คือ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี
คงจะพอเลือกกันได้แล้วว่าปลาชนิดไหนเข้าตากรรมการบ้าง ไม่ว่าคุณจะเลือกรับประทานชนิดไหน คุณก็ยังจะได้สารอาหารที่มีคุณค่าอื่นๆ อีกมากมาย เพราะนอกจากจะมีโปรตีน และไขมันต่ำแล้วยังมีกรดไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอลไม่สูงมากนัก อาหารบางชนิดอุดมด้วยสารสองชนิดนี้ จึงก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตันโดยเฉพาะหัวใจได้ แต่ในปลามีกรดไขมันอิ่มตัวและโคเลสเตอรอลน้อยกว่า 25 % ของปริมาณที่สำนักงานอาหารและยาแนะนำให้บริโภคต่อวัน (น้อยกว่า 20 กรัม, Thai Recommended Daily Intake, Thai RDI) จึงน่าจะปลอดภัยใช้ได้ที่จะเลือกเป็นอาหารจานหลักประจำบ้าน
ในขณะเดียวกันในเนื้อปลาก็ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญอีกหลายชนิดด้วยกัน ทั้งโอเมก้า 3 เช่น กรดไอโคซาเพนตะอีโนอิก (EPA) และกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (DHA) มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน ช่วยลดระดับไขมันในเลือด… จะพบได้มากในปลาทะเล และปลาน้ำจืดที่นิยมเลี้ยงเพื่อจำหน่าย เช่น ปลาจะละเม็ดดำ ปลาจาระเม็ดขาว ปลากะพงขาว ปลาสวาย ปลาสลิด ปลาดุก และปลาช่อน เมื่อนำมาต้มหรือนึ่งจะให้กรดไขมันโอเมก้า 3 สูง คือ รับประทาน1/3 ถ้วยตวง (หนึ่งหน่วยบริโภค) จะให้กรดไขมันโอเมก้า-3 ร้อยละ 54-120 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกา (600 มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อได้รับพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่) โดยเฉพาะปลาทอดด้วยน้ำมันพืช หรือปลาย่างจะมีกรดไขมันโอเมก้า-3 อยู่ ในระดับสูงมาก (คิดเป็นร้อยละ 67-287 ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน)
เมื่อรับประทานปลาเป็นประจำแล้วจะยังทำให้ห่างไกลจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับกระดูกและฟันที่เกิดจากการขาดธาตุแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมีธาตุเหล็กค่อนข้างสูงที่มีส่วนเสริมสร้างเลือด และที่สำคัญในปลากลับมีโซเดียม โปตัสเซียม และคลอไรด์ ที่มีผลก่อให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงมีอยู่ในปลาปริมาณต่ำ ยกเว้นปลาบางชนิด เช่น ปลาสลิด ปลาทูนึ่ง หรือปลาที่ผ่านการหมักเกลือ หรือน้ำปลา เป็นต้น และถ้าเป็นปลาทะเล ก็ยังมีธาตุไอโอดีนแถมให้ไปช่วยป้องกันโรคคอพอก และบำรุงสมองในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายอีกด้วย
จากเรื่องราวของสารอาหารในเนื้อปลาชนิดต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ ปลา ได้รับยกย่องว่า เป็นแหล่งรวมของสารอาหารชั้นดีอันทรงคุณค่าชนิดหนึ่งเลยทีเดียว จากนี้ไปคงถึงเวลาแล้วที่คุณจะลดเนื้อสัตว์ใหญ่ชนิดอื่นๆ ลงหันมารับประทานปลา ผักสด ผลไม่ให้มากขึ้นกันดีกว่า สิ่งที่จะได้กลับมาเห็นจะเป็น ความเสี่ยงต่อโรคภัยลดลง สุขภาพสดใสแข็งแรง กระฉับกระเฉงขึ้นแน่นอน แต่…อย่าลืมนะครับว่า รับประทานปลาที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น จะปลอดภัยจากพยาธิต่างๆ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ารับประทานอย่างชาญฉลาด
2008-10-21
กินบำบัดเกาต์
กินบำบัดเกาต์
เกาต์ เป็นโรคข้อที่พบบ่อยชนิดหนึ่ง เกิดจากมีความเข้มข้นของกรดยูริกสูงในร่างกาย ทำให้เกิดผลึกยูเรต (โมโนโซเดียมยูเรต) มีรูปร่างเหมือนเข็มแหลมๆ สะสม ณ อวัยวะต่างๆ ได้แก่ ข้อ เอ็น ไต ก่อให้เกิดการอักเสบ และทำความเสียหายให้อวัยวะต่างๆ เหล่านั้น
อาการ
อาการแรกที่พบบ่อยที่สุดคือ การปวดข้อนิ้วหัวแม่เท้าอย่างรุนแรง อาจตามด้วยอาการหนาวสั่นและมีไข้ มักพบอาการครั้งแรกในเวลากลางคืน
ในผู้ป่วยส่วนใหญ่จะพบว่ามีเหตุการณ์พิเศษนำก่อนมีอาการ เช่น การกินอาหารเกินพอดี การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง(trauma) การกินหรือได้รับยาบางชนิด เช่น การรับเคมีบำบัด หรือการผ่าตัด เป็นต้น
โรคเกาต์พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อาการปวดจะเกิดขึ้นมีการบวมแดงร้อนร่วมด้วย อาการบวมอาจเกิดชั่วครู่หรือนานเป็นวัน ขึ้นกับว่าผู้ป่วยสัมผัสตัวกระตุ้นมากน้อยเพียงใด หากเกิดการกำเริบบ่อยและนานพอ ก็จะเกิดการเสื่อมของข้อ เมื่อข้อเสื่อมแม้ไม่มีการอักเสบก็ปวดได้
อาการข้ออักเสบพบมากในฤดูที่อากาศเย็น และมักเกิดกับอวัยวะที่อยู่ไกลจากหัวใจ เช่น ปลายมือ ปลายเท้า เพราะกรดยูริกละลายในของเหลวได้น้อยในอุณหภูมิต่ำ จึงมีการตกผลึกเกิดขึ้น และทำให้การไหลของเลือดลดลง
แนวทางการวินิจฉัยโรค
วินิจฉัยโรคจากการตรวจค่ากรดยูริกในเลือด หากมีค่าสูงมากเกินมาตรฐาน (hyperuricemia) ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการตกผลึกของยูเรต ทำให้เกิดโรคเกาต์ได้
การที่กรดยูริกในเลือดมีค่าสูงจะส่งผลให้เกิดการสะสมของผลึกตามอวัยวะต่างๆ ได้ โดยทั่วไปจะถือว่ามีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (hyperuricemia) ก็เมื่อระดับกรดยูริกในเลือดม่าสูงเกินกว่า 7 มก./ดล. ในผู้ชาย และ 6 มก./ดล. ในผู้หญิง
บุคคลที่มีค่ากรดยูริกในเลือดสูงเกินมาตรฐานอาจไม่มีอาการโรคเกาต์ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ อาจไม่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงก็ได้
ปริมาณกรดยูริกที่สูงขึ้นในกระแสเลือด กว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยเกิดจากการเพิ่มการสังเคราะห์กรดยูริกในร่างกาย ร้อยละ 30 เกิดจากการเสื่อมความสามารถในการขับกรดยูริกออกนอกร่างกาย
การรักษาโรคเกาต์
เกาต์เป็นโรคแมทาบอลิซมที่ควบคุมได้ดีมากด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ในช่วงที่มีภาวะข้ออักเสบ จะมีการใช้ยาเพื่อลดอาการอักเสบภายใต้การดูแลของแพทย์และกำจัดเหตุกระตุ้น เช่น การติดเชื้อ ความเครียด
ส่วนในช่วงที่โรคสงบแพทย์จะแนะให้ผู้ป่วยควบคุมโรคร่วมอื่นๆ (เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ลดน้ำหนัก งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์) หลีกเลี่ยงอาหารที่กินแล้วเกิดอาการปวดข้อ เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน สัตว์ปีก ชะอม กระถิน อาหารทอด และน้ำซุปต้มเนื้อสัตว์
ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีอาการจากอาหารไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นต้องใช้การสังเกตเอาเอง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยกินผักใบเขียวที่มีธาตุเหล็กสูง และดื่มน้ำมากๆ
กินอะไรดีจึงจะช่วยบรรเทาโรคเกาต์
1. น้ำมันโอเมก้า 3 (EPA eicosapentaenoic acid)
ลดการสร้างสารลิวโคทรีน (leukotrine) ที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ถ้ากินเป็นน้ำมันเมล็ดป่านแฟลกซ์ (flax seed oil) วันละ 1 ช้อนโต๊ะก็พอ
2. วิตามินอี
ลดการสร้างสารลิวโคทรีน 400-800 หน่วย (IU) ต่อวัน
3. กรดโฟลิก
กรดโฟลิกยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่สร้างกรดยูริก คล้ายฤทธิ์ยาอัลโลพูรินอล (allopurinol) ที่ใช้รักษาอาการโรคเกาต์ 10-40 มก. ต่อวัน
4. สารสกัดเอนไซม์จากสับปะรด
โบรมีเลน (bromelain) เป็นเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่มีสมบัติต้านการอักเสบทั้งในสัตว์ทดลองและการวิจัยทางคลินิกในมนุษย์
แต่ถ้าจะกินเอนไซม์โบรมีเลนหรือกินสับปะรดเพื่อต้านอักเสบให้กินสับปะรด ? ผล (ขนาดเล็ก) วันละ 2-3 ครั้งหลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง มิฉะนั้นเอนไซม์ดังกล่าวจะไปย่อยโปรตีน
5. เควอเซทิน
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่สร้างกรดยูริกเช่นเดียวกับกรดโฟลิก
ใช้ใบฝรั่งมีเควอเซทินสูงต้มน้ำดื่ม ใช้ใบฝรั่งสด 30 กรัม ต้มกับน้ำ 3-4 ลิตร จนเดือด เคี่ยวไฟอ่อนครึ่งชั่วโมงยกลง ดื่มวันละ 1-3 แก้วหลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง
6. ผลเชอร์รี่หรือผลไม้สีม่วงแดง
กินผลเชอร์รี่บรรจุกระป๋องวันละ 250 กรัมมีผลลดกรดยูริกในกระแสเลือด ผลไม้มีสีม่วงแดงมีสารแอนโทไซยานินและโพรแอนโทไซยานินซึ่งป้องกันคอลลาเจนจากการถูกทำลาย นอกจากนั้น สารทั้งสองยับยั้งการสร้างสารลิวโคทรีนอีกด้วย
สำหรับประเทศไทย กินลูกหว้าหรือมะเกี๋ยงแทนได้หรือใช้น้ำร้อน 1 แก้วชงดอกอัญชัญสด 1 ดอก 2 นาทียกดอกขึ้น ผสมน้ำเชื่อมพอหวานปะแล่มดื่มได้วันละ 3 เวลา
7. ขึ้นฉ่าย (celery)
ขึ้นฉ่ายฝรั่งก้านโตๆ มีสารต้านการอักเสบ มีขายในซูเปอร์มาเก็ต กินวันละ 4 ก้าน หรือดื่มชาเมล็ดขึ้นฉ่าย ให้เมล็ดครึ่งช้อนชาชงน้ำร้อน 1 แก้วดื่ม 1-3 แก้วต่อวัน หรือจะซื้อสารสกัดเป็นแคปซูลแทนก็ได้
8. ขมิ้นชัน
มีสารเคอร์คูมิน (curcumin) ชะลอการสร้างพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาการปวดเป็นกลไกคล้ายกันกับกลไกระงับปวดของแอสไพรินและไอบูโพรเฟน ที่ปริมาณสูงๆ เคอร์คูมินกระตุ้นต่อมหมวกไต ให้หลั่งสารคอร์ติโซนเพื่อระงับการอักเสบและความปวดจากการอักเสบดังกล่าว
กินขมิ้นชันสดชิ้นเท่า 2 ข้อนิ้วก้อย 3 เวลาก่อนอาหารก็ควรจะได้เคอร์คูมินพอสำหรับบรรเทาอาการเกาต์นี้
อย่าลืมดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คุมความดันเลือดและปริมาณไขมันให้ดีนะคะจะได้ไม่ต้องปวดหัวแม่เท้าจากโรคเกาต์อีก ที่มา นิตยสาร หมอชาวบ้าน
เรื่องนี้มีผู้อ่าน 802 คน มีผู้ตอบ 2 คน
เกาต์ เป็นโรคข้อที่พบบ่อยชนิดหนึ่ง เกิดจากมีความเข้มข้นของกรดยูริกสูงในร่างกาย ทำให้เกิดผลึกยูเรต (โมโนโซเดียมยูเรต) มีรูปร่างเหมือนเข็มแหลมๆ สะสม ณ อวัยวะต่างๆ ได้แก่ ข้อ เอ็น ไต ก่อให้เกิดการอักเสบ และทำความเสียหายให้อวัยวะต่างๆ เหล่านั้น
อาการ
อาการแรกที่พบบ่อยที่สุดคือ การปวดข้อนิ้วหัวแม่เท้าอย่างรุนแรง อาจตามด้วยอาการหนาวสั่นและมีไข้ มักพบอาการครั้งแรกในเวลากลางคืน
ในผู้ป่วยส่วนใหญ่จะพบว่ามีเหตุการณ์พิเศษนำก่อนมีอาการ เช่น การกินอาหารเกินพอดี การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ความกระทบกระเทือนทางใจอย่างรุนแรง(trauma) การกินหรือได้รับยาบางชนิด เช่น การรับเคมีบำบัด หรือการผ่าตัด เป็นต้น
โรคเกาต์พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง อาการปวดจะเกิดขึ้นมีการบวมแดงร้อนร่วมด้วย อาการบวมอาจเกิดชั่วครู่หรือนานเป็นวัน ขึ้นกับว่าผู้ป่วยสัมผัสตัวกระตุ้นมากน้อยเพียงใด หากเกิดการกำเริบบ่อยและนานพอ ก็จะเกิดการเสื่อมของข้อ เมื่อข้อเสื่อมแม้ไม่มีการอักเสบก็ปวดได้
อาการข้ออักเสบพบมากในฤดูที่อากาศเย็น และมักเกิดกับอวัยวะที่อยู่ไกลจากหัวใจ เช่น ปลายมือ ปลายเท้า เพราะกรดยูริกละลายในของเหลวได้น้อยในอุณหภูมิต่ำ จึงมีการตกผลึกเกิดขึ้น และทำให้การไหลของเลือดลดลง
แนวทางการวินิจฉัยโรค
วินิจฉัยโรคจากการตรวจค่ากรดยูริกในเลือด หากมีค่าสูงมากเกินมาตรฐาน (hyperuricemia) ก็มีแนวโน้มที่จะเกิดการตกผลึกของยูเรต ทำให้เกิดโรคเกาต์ได้
การที่กรดยูริกในเลือดมีค่าสูงจะส่งผลให้เกิดการสะสมของผลึกตามอวัยวะต่างๆ ได้ โดยทั่วไปจะถือว่ามีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (hyperuricemia) ก็เมื่อระดับกรดยูริกในเลือดม่าสูงเกินกว่า 7 มก./ดล. ในผู้ชาย และ 6 มก./ดล. ในผู้หญิง
บุคคลที่มีค่ากรดยูริกในเลือดสูงเกินมาตรฐานอาจไม่มีอาการโรคเกาต์ ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ อาจไม่มีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงก็ได้
ปริมาณกรดยูริกที่สูงขึ้นในกระแสเลือด กว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยเกิดจากการเพิ่มการสังเคราะห์กรดยูริกในร่างกาย ร้อยละ 30 เกิดจากการเสื่อมความสามารถในการขับกรดยูริกออกนอกร่างกาย
การรักษาโรคเกาต์
เกาต์เป็นโรคแมทาบอลิซมที่ควบคุมได้ดีมากด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน ในช่วงที่มีภาวะข้ออักเสบ จะมีการใช้ยาเพื่อลดอาการอักเสบภายใต้การดูแลของแพทย์และกำจัดเหตุกระตุ้น เช่น การติดเชื้อ ความเครียด
ส่วนในช่วงที่โรคสงบแพทย์จะแนะให้ผู้ป่วยควบคุมโรคร่วมอื่นๆ (เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง ลดน้ำหนัก งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์) หลีกเลี่ยงอาหารที่กินแล้วเกิดอาการปวดข้อ เช่น เครื่องในสัตว์ ปลาซาร์ดีน สัตว์ปีก ชะอม กระถิน อาหารทอด และน้ำซุปต้มเนื้อสัตว์
ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีอาการจากอาหารไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นต้องใช้การสังเกตเอาเอง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยกินผักใบเขียวที่มีธาตุเหล็กสูง และดื่มน้ำมากๆ
กินอะไรดีจึงจะช่วยบรรเทาโรคเกาต์
1. น้ำมันโอเมก้า 3 (EPA eicosapentaenoic acid)
ลดการสร้างสารลิวโคทรีน (leukotrine) ที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ถ้ากินเป็นน้ำมันเมล็ดป่านแฟลกซ์ (flax seed oil) วันละ 1 ช้อนโต๊ะก็พอ
2. วิตามินอี
ลดการสร้างสารลิวโคทรีน 400-800 หน่วย (IU) ต่อวัน
3. กรดโฟลิก
กรดโฟลิกยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่สร้างกรดยูริก คล้ายฤทธิ์ยาอัลโลพูรินอล (allopurinol) ที่ใช้รักษาอาการโรคเกาต์ 10-40 มก. ต่อวัน
4. สารสกัดเอนไซม์จากสับปะรด
โบรมีเลน (bromelain) เป็นเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่มีสมบัติต้านการอักเสบทั้งในสัตว์ทดลองและการวิจัยทางคลินิกในมนุษย์
แต่ถ้าจะกินเอนไซม์โบรมีเลนหรือกินสับปะรดเพื่อต้านอักเสบให้กินสับปะรด ? ผล (ขนาดเล็ก) วันละ 2-3 ครั้งหลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง มิฉะนั้นเอนไซม์ดังกล่าวจะไปย่อยโปรตีน
5. เควอเซทิน
ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่สร้างกรดยูริกเช่นเดียวกับกรดโฟลิก
ใช้ใบฝรั่งมีเควอเซทินสูงต้มน้ำดื่ม ใช้ใบฝรั่งสด 30 กรัม ต้มกับน้ำ 3-4 ลิตร จนเดือด เคี่ยวไฟอ่อนครึ่งชั่วโมงยกลง ดื่มวันละ 1-3 แก้วหลังอาหาร 1 ชั่วโมงครึ่ง
6. ผลเชอร์รี่หรือผลไม้สีม่วงแดง
กินผลเชอร์รี่บรรจุกระป๋องวันละ 250 กรัมมีผลลดกรดยูริกในกระแสเลือด ผลไม้มีสีม่วงแดงมีสารแอนโทไซยานินและโพรแอนโทไซยานินซึ่งป้องกันคอลลาเจนจากการถูกทำลาย นอกจากนั้น สารทั้งสองยับยั้งการสร้างสารลิวโคทรีนอีกด้วย
สำหรับประเทศไทย กินลูกหว้าหรือมะเกี๋ยงแทนได้หรือใช้น้ำร้อน 1 แก้วชงดอกอัญชัญสด 1 ดอก 2 นาทียกดอกขึ้น ผสมน้ำเชื่อมพอหวานปะแล่มดื่มได้วันละ 3 เวลา
7. ขึ้นฉ่าย (celery)
ขึ้นฉ่ายฝรั่งก้านโตๆ มีสารต้านการอักเสบ มีขายในซูเปอร์มาเก็ต กินวันละ 4 ก้าน หรือดื่มชาเมล็ดขึ้นฉ่าย ให้เมล็ดครึ่งช้อนชาชงน้ำร้อน 1 แก้วดื่ม 1-3 แก้วต่อวัน หรือจะซื้อสารสกัดเป็นแคปซูลแทนก็ได้
8. ขมิ้นชัน
มีสารเคอร์คูมิน (curcumin) ชะลอการสร้างพรอสตาแกลนดิน (prostaglandin) ซึ่งเกี่ยวข้องกับอาการปวดเป็นกลไกคล้ายกันกับกลไกระงับปวดของแอสไพรินและไอบูโพรเฟน ที่ปริมาณสูงๆ เคอร์คูมินกระตุ้นต่อมหมวกไต ให้หลั่งสารคอร์ติโซนเพื่อระงับการอักเสบและความปวดจากการอักเสบดังกล่าว
กินขมิ้นชันสดชิ้นเท่า 2 ข้อนิ้วก้อย 3 เวลาก่อนอาหารก็ควรจะได้เคอร์คูมินพอสำหรับบรรเทาอาการเกาต์นี้
อย่าลืมดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คุมความดันเลือดและปริมาณไขมันให้ดีนะคะจะได้ไม่ต้องปวดหัวแม่เท้าจากโรคเกาต์อีก ที่มา นิตยสาร หมอชาวบ้าน
เรื่องนี้มีผู้อ่าน 802 คน มีผู้ตอบ 2 คน
เต้าหู้เทวดา
เต้าหู้เทวดา
“เต้าหู้เทวดา” ไม่ใช่ชื่อในเมนูอาหาร แต่เป็นชื่อยี่ห้อของเต้าหู้ขาวแข็งที่บรรจุถุงขาย ผู้ที่มักเมินหน้าหนีกับรสและกลิ่นเต้าหู้น่าจะหันมายิ้มรับกันได้ ด้วยลักษณะพิเศษของเต้าหู้เทวดาอยู่ตรงรสชาติต่างจากเต้าหู้ทั่วไปที่เนื้อเนียน ไม่มีกลิ่น เนื้อสัมผัสหยุ่น เหนียว เพราะเป็นตำรับการทำเต้าหู้แบบไต้หวัน จึงมีผู้นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เต้าหู้ไต้หวัน” ทำมาจากแป้งถั่วเหลือง แป้งหมี่กึง แป้งมัน น้ำมันถั่วเหลือง เพิ่มรสชาติด้วยเกลือและผงชูรส ใส่พิมพ์สี่เหลี่ยม นำไปนึ่งจนสุก ส่วนปริมาณโปรตีนนั้นนับว่าหายห่วง เพราะแม้จะทำมาจากแป้งถั่วเหลือง แต่ก็มีปริมาณโปรตีนที่ไม่น้อยไปกว่าเต้าหู้ซึ่งทำจากถั่วเหลืองโดยตรงเลย เต้าหู้เทวดาสามารถนำมาทำอาหารได้เหมือนกับเต้าหู้ทั่วไป เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ต้องนำเต้าหู้ไปหมักกับซอสปรุงรส ซีอิ๊ว น้ำตาล พริกไทย แล้วนำไปดาดในกระทะจนเหลือง เนื้อเต้าหู้จะมีรสอร่อยขึ้น ต่อจากนั้นจะใส่ในสลัดผัก ต้มแกงแบบไทยๆ หรือนำไปต้มพะโล้ก็ได้ เนื้อเต้าหู้ที่ได้นุ่ม ชุ่มน้ำพะโล้ กลิ่นหอม อร่อยดีเหมือนกัน ที่สำคัญเมื่อนำไปแช่ในช่องแช่แข็งเนื้อเต้าหู้จะไม่ยุ่ย รสชาติไม่เปลี่ยน ซึ่งน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนกินเจและมังสวิรัติได้ดีทีเดียว
“เต้าหู้เทวดา” ไม่ใช่ชื่อในเมนูอาหาร แต่เป็นชื่อยี่ห้อของเต้าหู้ขาวแข็งที่บรรจุถุงขาย ผู้ที่มักเมินหน้าหนีกับรสและกลิ่นเต้าหู้น่าจะหันมายิ้มรับกันได้ ด้วยลักษณะพิเศษของเต้าหู้เทวดาอยู่ตรงรสชาติต่างจากเต้าหู้ทั่วไปที่เนื้อเนียน ไม่มีกลิ่น เนื้อสัมผัสหยุ่น เหนียว เพราะเป็นตำรับการทำเต้าหู้แบบไต้หวัน จึงมีผู้นิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เต้าหู้ไต้หวัน” ทำมาจากแป้งถั่วเหลือง แป้งหมี่กึง แป้งมัน น้ำมันถั่วเหลือง เพิ่มรสชาติด้วยเกลือและผงชูรส ใส่พิมพ์สี่เหลี่ยม นำไปนึ่งจนสุก ส่วนปริมาณโปรตีนนั้นนับว่าหายห่วง เพราะแม้จะทำมาจากแป้งถั่วเหลือง แต่ก็มีปริมาณโปรตีนที่ไม่น้อยไปกว่าเต้าหู้ซึ่งทำจากถั่วเหลืองโดยตรงเลย เต้าหู้เทวดาสามารถนำมาทำอาหารได้เหมือนกับเต้าหู้ทั่วไป เคล็ดลับความอร่อยอยู่ที่ต้องนำเต้าหู้ไปหมักกับซอสปรุงรส ซีอิ๊ว น้ำตาล พริกไทย แล้วนำไปดาดในกระทะจนเหลือง เนื้อเต้าหู้จะมีรสอร่อยขึ้น ต่อจากนั้นจะใส่ในสลัดผัก ต้มแกงแบบไทยๆ หรือนำไปต้มพะโล้ก็ได้ เนื้อเต้าหู้ที่ได้นุ่ม ชุ่มน้ำพะโล้ กลิ่นหอม อร่อยดีเหมือนกัน ที่สำคัญเมื่อนำไปแช่ในช่องแช่แข็งเนื้อเต้าหู้จะไม่ยุ่ย รสชาติไม่เปลี่ยน ซึ่งน่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนกินเจและมังสวิรัติได้ดีทีเดียว
2008-10-20
เย็นตาโฟ
เย็นตาโฟ
เย็นตาโฟ หรือ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ที่เราชอบกินกันนั้น ภาษาจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ยี่อ่องเต่าฝู่ เป็นอาหารคาวใส่ผักบุ้ง เต้าหู้ เลือดหมู ภาษาอังกฤษพูดว่า brewed bean curd คนไทยติดปากเรียกกันว่า เย็นตาโฟ
เย็นตาโฟ ที่คนไทยกินอยู่เวลานี้ ใส่ซอสแดง ปลาหมึกกรอบ บางร้านใส่แมงกะพรุน แต่ระยะหลังมีคนใช้เห็ดหูหนูขาวแทน เห็ดหูหนูขาวเคี้ยวเพลิน ให้สัมผัสเหมือนแมงกะพรุน แต่ไม่เหม็นคาวเท่าแมงกระพรุน นิยมใช้เส้นได้หลายแบบที่นิยม คือ
- เส้นใหญ่ มีขนาดความกว้างกว่าเส้นเล็ก ประมาณ 3-4 เท่าตัว เมื่อลวกเสร็จแล้วจะนิ่ม รับประทานง่าย เป็นเส้นที่นิยมมาทำเย็นตาโฟ
- เส้นเล็ก ลักษณะกว้างกว่าเส้นหมี่ และตัดเป็นท่อนๆ เพื่อความง่ายในการรับประทาน เมื่อลวกเสร็จแล้วจะเหนียวกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวอื่นๆ- เส้นหมี่ หรือภาษาท้องถิ่นบางที่เรียก "หมี่ขาว" หรือ "เส้นหมี่ขาว" เป็นเส้นเรียวเล็ก ยาว มักใช้เครื่องจักรผลิต ก่อนนำมาทำอาหาร ต้องนำไปแช่น้ำเสียก่อน
- บะหมี่ ลักษณะเฉพาะตัวคือจะมีส่วนผสมของไข่จึงมีสีเหลือง ก่อนนำมาลวกจะต้องยีให้ก้อนบะหมี่คลายออก เพื่อไม่ให้เส้นติดกันเป็นก้อน ถ้าเป็นสีเขียว จะเรียกว่า บะหมี่หยก
- วุ้นเส้น เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากแป้งถั่วเขียว ลักษณะเด่นคือมีความใสคล้ายวุ้น
วิธีทำก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ
น้ำซอสสีแดง ผักบุ้งไทยก้านอวบลวกพอสุก ปลาหมึกกรอบ เลือดหมู พร้อมกับสารพัดลูกชิ้น สารพัดเต้าหู้ ที่โหมกระหน่ำใส่กันเข้าไปอย่างไม่ต้องยั้งมือ แถมบางร้านยังมีแมงกะพรุน หนังปลากรอบโรยหน้า เสริมเข้ามาอีก
ต้มน้ำซุป เอากระดูกสันหลังหมูที่เค้าเรียกว่า "เอียวเล้ง"สักครึ่งกิโลกับกระดูกขาตั้ง 1 ขา รากผักชี 5 ราก หัวไชเท้าหั่นเป็นแว่นหนา ๆ สัก 1 หัว เกลือป่นนิดหน่อย ต้มบนไฟอ่อน ๆ เคี่ยวไปสัก 2 - 3 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำซุปอร่อย ที่มีรสหวานจากหัวไชเท้าและน้ำต้มกระดูกหมู สำหรับปรุงก๋วยเตี๋ยว
เครื่องปรุงซอสแดง ซอสแดง 1 / 2 ถ้วย เต้าหู้ยี้อย่างดี 3 ก้อน เหล้าจีน 1-2 ช้อนโต๊ะ น้ำเชื่อม 5 ช้อนโต๊ะ ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา นำมาบดรวมกัน
ส่วนกากหมูกับกระเทียมเจียวที่ใช้โรยหน้า ให้นำหมูสามชั้นมาหั่นเล็กๆเท่าข้อนิ้ว หมักกับซีอิ้วขาวและเหล้าจีนเพื่อให้หอม กากหมูสูตรนี้ต้องทอดสองครั้ง ครั้งแรกนำไปทอดไฟอ่อนเพื่อให้น้ำมันในหมูออกมา พักออกให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วเอาลงทอดอีกครั้ง กากหมูจะฟูเหลืองกรอบ แล้วถึงเอากระเทียมเจียวมาคลุกให้เข้ากัน กระเทียมเจียวกากหมูจึงเป็นลักษณะขลุกขลิก ไม่มีน้ำมันเยิ้ม
เครื่องปรุงรสอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับเย็นตาโฟก็คือ น้ำส้มพริกตำ ให้ใช้พริกขี้หนูสีแดง กระเทียม เกลือป่น น้ำส้มสายชู จะนำไปตำหรือปั่นก็แล้วแต่ถนัด ให้ส่วนผสมทั้งหมดละเอียดและเข้ากัน
ส่วนบรรดาลูกชิ้นหรือเครื่องเคราต่าง ๆ สำหรับใส่ในเย็นตาโฟจะเยอะแยะ มากมาย หลากหลายขนาดไหน ก็หาซื้อเอาตามตลาดสดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต ตามใจชอบหรือตามกำลังทรัพย์ที่มีในกระเป๋าก็แล้วกัน
เวลาจะรับประทานก็เอาเส้นก๋วยเตี๋ยวกับผักบุ้งลงไปลวกในน้ำเดือด ประโคมใส่สารพัดลูกชิ้น สารพัดเต้าหู้ ปลาหมึกกรอบ ฯลฯ ลงไป
ปรุงรสด้วยน้ำส้มพริกตำ 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำปลาสัก 1 / 2 ช้อนชา แล้วตักน้ำซุปราดลงไป โรยกระเทียวเจียวกากหมู 1 ช้อนโต๊ะ ใส่หนังปลากรอบ
เย็นตาโฟ หรือ ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ที่เราชอบกินกันนั้น ภาษาจีนแต้จิ๋ว เรียกว่า ยี่อ่องเต่าฝู่ เป็นอาหารคาวใส่ผักบุ้ง เต้าหู้ เลือดหมู ภาษาอังกฤษพูดว่า brewed bean curd คนไทยติดปากเรียกกันว่า เย็นตาโฟ
เย็นตาโฟ ที่คนไทยกินอยู่เวลานี้ ใส่ซอสแดง ปลาหมึกกรอบ บางร้านใส่แมงกะพรุน แต่ระยะหลังมีคนใช้เห็ดหูหนูขาวแทน เห็ดหูหนูขาวเคี้ยวเพลิน ให้สัมผัสเหมือนแมงกะพรุน แต่ไม่เหม็นคาวเท่าแมงกระพรุน นิยมใช้เส้นได้หลายแบบที่นิยม คือ
- เส้นใหญ่ มีขนาดความกว้างกว่าเส้นเล็ก ประมาณ 3-4 เท่าตัว เมื่อลวกเสร็จแล้วจะนิ่ม รับประทานง่าย เป็นเส้นที่นิยมมาทำเย็นตาโฟ
- เส้นเล็ก ลักษณะกว้างกว่าเส้นหมี่ และตัดเป็นท่อนๆ เพื่อความง่ายในการรับประทาน เมื่อลวกเสร็จแล้วจะเหนียวกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวอื่นๆ- เส้นหมี่ หรือภาษาท้องถิ่นบางที่เรียก "หมี่ขาว" หรือ "เส้นหมี่ขาว" เป็นเส้นเรียวเล็ก ยาว มักใช้เครื่องจักรผลิต ก่อนนำมาทำอาหาร ต้องนำไปแช่น้ำเสียก่อน
- บะหมี่ ลักษณะเฉพาะตัวคือจะมีส่วนผสมของไข่จึงมีสีเหลือง ก่อนนำมาลวกจะต้องยีให้ก้อนบะหมี่คลายออก เพื่อไม่ให้เส้นติดกันเป็นก้อน ถ้าเป็นสีเขียว จะเรียกว่า บะหมี่หยก
- วุ้นเส้น เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ทำจากแป้งถั่วเขียว ลักษณะเด่นคือมีความใสคล้ายวุ้น
วิธีทำก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ
น้ำซอสสีแดง ผักบุ้งไทยก้านอวบลวกพอสุก ปลาหมึกกรอบ เลือดหมู พร้อมกับสารพัดลูกชิ้น สารพัดเต้าหู้ ที่โหมกระหน่ำใส่กันเข้าไปอย่างไม่ต้องยั้งมือ แถมบางร้านยังมีแมงกะพรุน หนังปลากรอบโรยหน้า เสริมเข้ามาอีก
ต้มน้ำซุป เอากระดูกสันหลังหมูที่เค้าเรียกว่า "เอียวเล้ง"สักครึ่งกิโลกับกระดูกขาตั้ง 1 ขา รากผักชี 5 ราก หัวไชเท้าหั่นเป็นแว่นหนา ๆ สัก 1 หัว เกลือป่นนิดหน่อย ต้มบนไฟอ่อน ๆ เคี่ยวไปสัก 2 - 3 ชั่วโมง ก็จะได้น้ำซุปอร่อย ที่มีรสหวานจากหัวไชเท้าและน้ำต้มกระดูกหมู สำหรับปรุงก๋วยเตี๋ยว
เครื่องปรุงซอสแดง ซอสแดง 1 / 2 ถ้วย เต้าหู้ยี้อย่างดี 3 ก้อน เหล้าจีน 1-2 ช้อนโต๊ะ น้ำเชื่อม 5 ช้อนโต๊ะ ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา นำมาบดรวมกัน
ส่วนกากหมูกับกระเทียมเจียวที่ใช้โรยหน้า ให้นำหมูสามชั้นมาหั่นเล็กๆเท่าข้อนิ้ว หมักกับซีอิ้วขาวและเหล้าจีนเพื่อให้หอม กากหมูสูตรนี้ต้องทอดสองครั้ง ครั้งแรกนำไปทอดไฟอ่อนเพื่อให้น้ำมันในหมูออกมา พักออกให้สะเด็ดน้ำมัน แล้วเอาลงทอดอีกครั้ง กากหมูจะฟูเหลืองกรอบ แล้วถึงเอากระเทียมเจียวมาคลุกให้เข้ากัน กระเทียมเจียวกากหมูจึงเป็นลักษณะขลุกขลิก ไม่มีน้ำมันเยิ้ม
เครื่องปรุงรสอีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้ สำหรับเย็นตาโฟก็คือ น้ำส้มพริกตำ ให้ใช้พริกขี้หนูสีแดง กระเทียม เกลือป่น น้ำส้มสายชู จะนำไปตำหรือปั่นก็แล้วแต่ถนัด ให้ส่วนผสมทั้งหมดละเอียดและเข้ากัน
ส่วนบรรดาลูกชิ้นหรือเครื่องเคราต่าง ๆ สำหรับใส่ในเย็นตาโฟจะเยอะแยะ มากมาย หลากหลายขนาดไหน ก็หาซื้อเอาตามตลาดสดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต ตามใจชอบหรือตามกำลังทรัพย์ที่มีในกระเป๋าก็แล้วกัน
เวลาจะรับประทานก็เอาเส้นก๋วยเตี๋ยวกับผักบุ้งลงไปลวกในน้ำเดือด ประโคมใส่สารพัดลูกชิ้น สารพัดเต้าหู้ ปลาหมึกกรอบ ฯลฯ ลงไป
ปรุงรสด้วยน้ำส้มพริกตำ 1 ช้อนชา น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา น้ำปลาสัก 1 / 2 ช้อนชา แล้วตักน้ำซุปราดลงไป โรยกระเทียวเจียวกากหมู 1 ช้อนโต๊ะ ใส่หนังปลากรอบ
ว่าด้วยเรื่องของ...ปลาทู
ว่าด้วยเรื่องของ...ปลาทู
ปลาในแผ่นดินไทยมีครบอุดมสมบูรณ์แต่โบราณ ในบรรดาฝรั่งต่างชาติที่บันทึกเรื่องราวอาหารการกินของคนไทยไว้ เห็นจะไม่มีใครวิเศษเท่าลาลูแบร์ ในหนังสือเรื่อง พระราชอาณาจักรสยาม ดังตอนหนึ่งกล่าวว่า"ไม่มีชนใดจะสมถะเสมอด้วยชาวสยาม ชาวบ้านดื่มกันแต่น้ำเปล่า จะอยู่อย่างมีความสุขด้วยอาหารการกินง่ายๆ เพียงข้าวเปล่ากับปลาแห้ง หรือปลาเค็มตัวเล็กๆ อาจมีเครื่องจิ้มบ้าง ปลานั้นชุกชุมมากเหลือเกิน จับชั่วโมงหนึ่งพอกินไปได้หลายวัน มีมากทั้งปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็ม เต่าตัวย่อมๆ กุ้งขนาดต่างๆ หอยนางรมก็มีมาก และผลไม้นานาชนิดมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์คนไทยรู้จักและกินปลาทูมาช้านานแล้ว แต่หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษร อัตนเก่าแก่ที่สุดที่หาได้ในขณะนี้กลับมีอายุเยาว์เพียง 125 ปีเท่านั้นคือ หนังสือ "อักขราภิธานศรับท์" ฉบับหมอบรัดเล" ตีพิมพ์ในรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ.2416 โดยเขียนว่า" ปลาทู, เป็นปลาอยู่ทะเลน้ำเค็มมีเกล็ด, ตัวมันกว้างศักสองนิ้ว, ยาวศักสิบนิ้ว" และ "ปลาลัง,ตัวมันเหมือนปลาทู, แต่เล็กกว่าปลาทู, อยู่น้ำเค็มในทะเลมีเกล็ดหนืดๆ"ปลาทูเป็นปลาทะเลที่หาซื้อได้ง่าย ราคาถูก ทั้งยังมีคุณค่าสารอาหาร โดยเฉพาะกราดไขมันโอเมก้า 3 สูง การเลือกซื้อปลาทูให้ได้ปลาสด สังเกตที่ลูกตานูน ตาดำสีสดใส ส่วนหลังมีสีเขียวเป็นพื้น ส่วนท้องมีสีขาวเงิน หางปลามีสีเหลือง ลำตัวมีเมือกลื่นๆจับทั่วตัว เหงือกสีแดงอมชมพู ไม่มีกลิ่น เนื้อแน่น เมื่อใช้นิ้วกดที่หลางลำตัวแล้วปล่อยนิ้วออก รอยยุบจะกลับคืนสภาพเดิม ส่วนการเลือกซื้อปลาทูนึ่ง ให้เลือกดูปลาที่มีกลิ่นหอม เพราะปลาทูที่ต้มสุกใหม่ๆ จะมีกลิ่นหอมน่ากิน ตัวอวบอ้วน เนื้อนุ่มแน่น ไม่เละ ท้องและหนังปลาไม่ถลอก ถ้าขอบตาแดงและเหลืองแสดงว่าเป็นปลาที่มีคุณภาพไม่ดีปลาทูนึ่ง มีกรรมวิธีการทำที่ไม่ใช่การนึ่ง แต่เป็นการต้มหรือลวก โดยบรรจุปลาใส่เข่งไม่ไผ่ จากนั้นนำเข่งเรียงลงในกระชุ (เข่งไม้ไผ่สานตาห่างๆ ทรงสูง ขนาดไม่ใหญ่มากนัก เส้นผ่าศูนย์กลางสักประมาณ 1-2 ฟุต) จนเต็ม แล้วนำกระชุปลาลงไปแช่ในกระทะใบบัวก้นลึก ที่มีน้ำเกลือต้มเดือดปุดๆ แช่ไว้สักประมาณ 3-5 นาที ถ้าปลาตัวเล็ก 3 นาทีก็ยกขึ้นได้ ต้องกะเวลาต้มให้พอดี ถ้าต้มนานเกินไปเนื้อปลาจะแตกไม่น่ากิน ก่อนจะยกกระชุปลาขึ้น จะต้องตักน้ำเกลือราดบนเข่งปลาทูอีกครั้งเพื่อให้ความชุ่มของเนื้อปลาทูยังคงอยู่ ปลาทูไม่ติดกับเข่ง เวลาต้มต้องอย่าใช้ไปแรง เพื่อให้ปลาสุกข้างนอกแล้วระอุไปถึงเนื้อปลา ปลาทู...ประโยชน์เหนือราคา
ปลาทูเป็นอาหารทะเลชนิดหนึ่ง จัดอยู่ในประเภทปลาผิวน้ำ สีของลำตัวด้านบนหลังเป็นสีน้ำเงินแกมเขียว ด้านท้องเป็นสีขาวเงิน คนไทยนิยมบริโภคปลาทูตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเพราะราคาถูก เมื่อเทียบกับสัตว์ทะเลชนิดอื่นๆ ทำอาหารได้หลายอย่าง ย่อยง่าย รสชาดดี โดยเฉพาะปลาทางแถบจังหวัดชลบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงครามและเพชรบุรี เพราะมีความมันมาก รสอร่อยกว่าปลาทูจากแหล่งอื่นๆปลาทู เป็นปลาไทยแท้ไม่มีเชื้อสายจีนหรือแขกเจือปน เพราะมันเกิดที่อ่าวไทยแล้วก็ตาย ที่อ่าวไทย พูดง่าย ๆ ก็คือ จะพบปลาทูเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น ยังไม่มีใครเคยพบปลาทู ที่อเมริกา หรือทะเลอื่น ๆ เลยทั่วโลก ทำไมปลาทูจึงจงใจมาอยู่เมืองไทย คุณวิไลกุล ระตินัย ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลาทู ไม่ได้เขียนบอกไว้ บอกเพียงแต่ว่า ในเดือนธันวาคมถึงมกราคมจะพบปลาทูตัวยังเล็กมากขนาดปลาซิวอยู่บริเวณจังหวัดชุมพร ปลาทูค่อย ๆ โตขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงหัวหินและจะโตเต็มที่เมื่อถึงอ่าวแม่กลอง ปลาทูไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย ชอบว่ายน้ำเรียบชายอ่าวไปเรื่อย ๆ ผ่านปากน้ำเจ้าพระยา ถึงตอนนี้มันจะมีไข่เต็มท้อง ก็อยู่ในระหว่างเดือนกันยายนถึงตุลาคม ใครชอบกินปลาทูเริ่มมีไข่ก็ต้องกินระหว่างเดือนที่ว่านี้แหละ พอปลาทูเริ่มมีไข่ในท้อง ปลาทูจะมีน้อยลง เพราะส่วนหนึ่งจะแอบไปหาปะการังเพื่อวางไข่ แต่บางคนก็ว่า เหตุที่ปลาทูมีน้อยลง อาจเป็นเพราะถูกคนจับมากินมากขึ้นก็ได้ ปลาทูมีชีวิตวนเวียน อยู่แต่ในอ่าวไทย บางปีก็มีมาก บางปีก็มีน้อย แต่ก็ไม่ต้องห่วงเพราะปลาออกลูกออกหลาน ได้ครั้งละเป็นหมื่น ๆ ตัว(ไมตรี ลิมปิชาติ)จากหลักฐานทางด้านวิชาการของกองประมงทะเล พบว่า บริเวณดังกล่าวเป็นก้นอ่าวไทย จึงมีอาหารอุดมสมบูรณ์ จึงมีผลทำให้ปลาทูเหล่านี้มีสารอาหารต่างๆอยู่ในตัวมาก และประกอบกับปลาทูจะวางไข่บริเวณฝั่งตะวันตกของอ่าวไทย แถบจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี ประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ และจะอพยพมาที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์ ในช่วงสิงหาคม-ธันวาคม ดังนั้นปลาทูในช่วงนี้มีราคาถูกเพราะมีมาก รสอร่อย และเป็นปลาทูตัวโต หรือปลาทูสาว
ปลาทูเป็นแหล่งของสารอาหารประเภทโปรตีนอย่างดี จะเห็นได้ว่า ในปลาทูสด 100 กรัม มีคุณค่าทางสารอาหารดังนี้..
พลังงาน 140 แคลอรี่ โปรตีน 20 กรัม ไขมัน 6.7 กรัม แคลเซียม 170 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 60 มิลลิกรัม เหล็ก 11.9 มิลลิกรัม วิตามินบี1 0.03 มิลลิกรัม วิตามินบี2 0.62 มิลลิกรัม ไนอะซิน 9.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 9.2 มิลลิกรัม
เนื่องจากปลาทูมีรูปร่างลักษณะคล้ายกับปลาอีกหลายๆ ชนิด โอกาสซื้อผิดมีมาก จึงขอแนะนำเพื่อเป็นข้อสังเกตดังนี้1. ปลาทู มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rastrlliger neglectus หรือ ปลาทูสั้น ปลาทูเตี้ย แล้วแต่บางพื้นที่ เพราะลักษณะของลำตัวกว้าง แบน ป้อม สั้น ตาเล็ก ปากแหลมมน ไม่มีลายข้างตัว 3 เส้น ด้านบนของลำตัวมีสีน้ำเงินแกมเขียว ถ้าเป็นปลาสดจะมีสีน้ำเงินเข้มพาดตามยาวของลำตัว เนื้อปลาทูจะละเอียด นุ่ม มีมันมาก รสอร่อย
2. ปลาลัง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rastrelliger Kanagurta หรือ ปลายาว ปลาทูโม่ง หรือปลาโม่ง เพราะลำตัวกลม เรียวกว่าปลาทู ตาโต ปากแหลม ลำตัวด้านหลังมีแถบสีเขียวแกมน้ำตาล 2-3 แถบพาดตามยาว เนื้อหยาบ มันน้อย รสไม่อร่อย ราคาถูกกว่าปลาทู
3. ปลาทูปากจิ้งจก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Rastrelliger faughni ลักษณะลำตัวเรียวยาวคล้ายปลาลัง แต่มีขนาดความยาวเท่าปลาทู ความกว้างของลำตัวน้อยกว่าปลาลัง ปากแหลม ด้านบนลำตัวมีสีน้ำเงิน แวววาว ด้านท้องมีสีขาวเงิน เนื้อหยาบ มันน้อย รับประทานไม่อร่อย (ผู้ขายมักเอามาขายรวมกับปลาทู)
4. ปลาทูแขก มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Decapterus macrosoma ลักษณะคล้ายปลาทูปากจิ้งจก แต่มีเกล็ดหนามแข็งที่โคนหาง แนวเส้นข้างตัวโค้งลาด ลำตัวเรียวยาว แต่หนา มองดูค่อนข้างกลม ด้านหลังมีสีน้ำเงินแกมเขียว ท้องสีขาวเงิน ครีบสีขาวใส เนื้อหยาบ มันน้อย ปัจจุบันนิยมนึ่งแทนปลาทู หรือทำปลากระป๋อง
5. ปลาทูแขกครีบยาว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Decapterus maruadsi ลัษณะคล้ายปลาทูแขก แต่ลำตัวกว้างกว่า จึงมองดูแบน ตาค่อนข้างโต เนื้อแข็ง หยาบ รับประทานไม่อร่อย
การเลือกซื้อปลาทูนึ่งนั้น ให้พิจารณาดังนี้ ตัวจะสั้น ป้อม แบน ตาใส สีของปลาจะใส ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงินแกมเขียว หรือสีขาวของส่วนล่างก็ตาม กด เนื้อจะนิ่ม มีมันสีเหลืองเยิ้มอยู่ตามตัว ถ้าเนื้อแข็งแสดงว่าปลาไม่สด และเค็มเกินไป
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับปลาทู
วิธีการเลือกปลาทูนึ่ง ปลาทูที่นึ่งใหม่ๆ จะมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ตัวอวบอ้วน เนื้อนุ่มแน่นและไม่เละยุ่ย ท้องและผิวไม่ถลอก ถ้าขอบตาแดง ผิวเหลือง แสดงว่าเป็นปลาที่มีคุณภาพไม่ดี เป็นปลาที่ได้จากอวนลาก จึงต้องมีการใช้น้ำยาเคมีรักษาสภาพของปลา ความอร่อยของปลาทูนึ่งยังขึ้นอยู่กับปลาทูที่สดที่นำมาต้มด้วย ถ้าใช้ปลาทูไม่สด ไม่ใช่ปลาทูโป๊ะ จะไม่อร่อยเท่าปลาทูแม่กลองที่เวลานึ่ง คนทำจะหักคอก่อนใส่เข่ง เพื่อให้พอดีกับขนาดของเข่ง เรียกกันว่า “ปลาหน้างอคอหัก”
วิธีเลือกปลาทูสด ปลาทูสดลูกตาจะนูน ตาดำมีสีสดใส ส่วนหลังของลำตัวจะมีสีเขียวเป็นพื้น ส่วนท้องจะมีสีขาว หรือสีเงิน หางปลายังมีสีเหลือง ตามลำตัวมีเมือกลื่นๆ เหงือกมีสีแดงออกชมพู ปลาไม่มีกลิ่น เนื้อแน่น เมื่อใช้นิ้วกดที่กลางลำตัวแล้วปล่อยนิ้วออก รอยยุบจะกลับคืนสภาพเดิมได้หมดหรือเกือบหมด ส่วนปลาทูที่ไม่สดลูกตาจะยุบ ตาดำจะขุ่น บริเวณลูกตาอาจมีเลือดคลั่ง สีพื้นของลำตัวซีด เหงือกมีสีแดงซีด ปลามีกลิ่นคาวหรือคาวจัด ลำตัวอ่อนเหลวและไม่มีเมือกจับ
ซื้อปลาแบบไหนถึงจะอร่อย หลังจากที่ชาวประมงจับปลาทูขึ้นมาได้ราว 5 – 10 นาที ปลาก็จะตาย ปลาทูที่ตายใหม่ๆ นี้ถ้ารีบนำไปประกอบอาหารไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด เนื้อจะนุ่มหวานอร่อย กลิ่นหอม ถ้านำไปต้ม มันปลาทูสีเหลืองจะลอยฟ่องขึ้นหม้อ แค่เห็นก็อร่อยแล้ว แต่ปลาทูสดที่เห็นขายกันอยู่ตามตลาดหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตนั้นไม่ใช่ปลาทูสด 100% เป็นปลาทูที่ต้องผ่านหลายกระบวนการกว่าจะมาวางขายตามท้องตลาด ความสดของปลาก็ลดลงเหลือ 60 – 80% ยิ่งถ้าเป็นปลาทูที่ขายตามจังหวัดที่ห่างไกลทะเลแล้ว อาจเก็บมาเป็นอาทิตย์ก็ได้ อนึ่งปลาทูจะมีความสดมากหรือน้อยนั้นจะทราบได้ก็ต่อเมื่อมีการดมกลิ่นชิมรสเนื้อปลา ซึ่งถือว่าปลาที่มีความสดมากนั้น จะมีกลิ่นหอมของเนื้อปลาชวนรับประทาน รสชาติอร่อย เนื้อนุ่มไม่กระด้างไม่เปื่อยยุ่ย โดยเฉพาะปลาทูที่จับได้ที่ก้นอ่าวไทยตามทะเลที่พื้นดินเป็นเลน เนื้อจะอร่อยกว่าปลาทูที่จับได้ตามทะเลที่เป็นพื้นทราย
2008-10-19
หมูสะเต๊ะ
หมูสะเต๊ะ
เครื่องปรุงเนื้อหมูสันนอก 500 กรัม
เครื่องหมักหมูลูกผักชีคั่ว 1/2 ช้อนชา
ยี่หร่าคั่ว 1/2 ช้อนชา
ตะไคร้หั่น 1 ช้อนโต๊ะ
ข่าหั่น 1 ช้อนชา
ผิวมะกรูดซอย 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
นมข้นหวาน 3 ช้อนโต๊ะ
ผงขมิ้น 1 ช้อนชา
น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ล้างหมู หั่นเป็นชิ้นยาวขนาด 1 x 4 นิ้ว
2. โขลกเครื่องเทศ ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด เกลือเข้าด้วยกัน
3. นำส่วนผสมในข้อ 2 ผสมกับหมูใส่นมข้น ผงขมิ้น น้ำมัน เนย เคล้าให้เข้ากัน หมักไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วนำมาเสียบไม้
น้ำจิ้มพริก
พริกแห้งเม็ดใหญ่ 3 เม็ด
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
ข่าหั่น 1/2 ช้อนชา
ตะไคร้หั่น 2 ช้อนชา
ผิวมะกรูดหั่น 1/4 ช้อนชา
รากผักชี 2 ช้อนชา
หอมแดง 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 1/2 ช้อนโต๊ะ กะปิ 1 ช้อนชา
มะพร้าวขูด 500 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามคั้นข้น ๆ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพริก 1/4 ถ้วยตวง
(ใช้พริกสี 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำมัน 1/4 ถ้วยตวง ตั้งน้ำมันให้ร้อน ยกกระทะขึ้นเทพริกใส่รินใช้แต่ส่วนที่ใส)
ถั่วลิสงคั่วป่น 1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. โขลกส่วนผสมน้ำพริกให้ละเอียด
2. คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 1 1/4 ถ้วยตวง คั้นให้ได้กะทิ 2 ถ้วยตวง
3. ผัดน้ำพริกด้วยน้ำมันให้หอม ถ้าแห้งให้เติมกะทิ และใส่กะทิที่เหลือ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะขาม ถั่วลิสง ยกลงใส่น้ำมันพริกลอยหน้า
อาจาด
น้ำส้ม 1/2 ถ้วยตวง
น้ำ 1/2 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำตาล 1/3 ถ้วยตวง
หอมแดงหั่น 4 หัว
พริกแดง 3 เม็ด
แตงกวาหั่น 4 ผล
วิธีทำอาจาด
ผสมน้ำ น้ำส้ม เกลือ น้ำตาล ทิ้งให้เย็นใส่ในหอมแดงและแตงกวา พริกแดงหั่นเป็นแว่น
วิธีปิ้ง ใช้ไฟแรงนำหมูที่เสียบไม้ไว้มาปิ้ง พรมด้วยหัวกะทิจนหมูสุก
เครื่องปรุงเนื้อหมูสันนอก 500 กรัม
เครื่องหมักหมูลูกผักชีคั่ว 1/2 ช้อนชา
ยี่หร่าคั่ว 1/2 ช้อนชา
ตะไคร้หั่น 1 ช้อนโต๊ะ
ข่าหั่น 1 ช้อนชา
ผิวมะกรูดซอย 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
นมข้นหวาน 3 ช้อนโต๊ะ
ผงขมิ้น 1 ช้อนชา
น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
เนยสด 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ล้างหมู หั่นเป็นชิ้นยาวขนาด 1 x 4 นิ้ว
2. โขลกเครื่องเทศ ข่า ตะไคร้ ผิวมะกรูด เกลือเข้าด้วยกัน
3. นำส่วนผสมในข้อ 2 ผสมกับหมูใส่นมข้น ผงขมิ้น น้ำมัน เนย เคล้าให้เข้ากัน หมักไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วนำมาเสียบไม้
น้ำจิ้มพริก
พริกแห้งเม็ดใหญ่ 3 เม็ด
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
ข่าหั่น 1/2 ช้อนชา
ตะไคร้หั่น 2 ช้อนชา
ผิวมะกรูดหั่น 1/4 ช้อนชา
รากผักชี 2 ช้อนชา
หอมแดง 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กระเทียม 1/2 ช้อนโต๊ะ กะปิ 1 ช้อนชา
มะพร้าวขูด 500 กรัม
น้ำตาลปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามคั้นข้น ๆ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพริก 1/4 ถ้วยตวง
(ใช้พริกสี 1 ช้อนโต๊ะกับน้ำมัน 1/4 ถ้วยตวง ตั้งน้ำมันให้ร้อน ยกกระทะขึ้นเทพริกใส่รินใช้แต่ส่วนที่ใส)
ถั่วลิสงคั่วป่น 1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. โขลกส่วนผสมน้ำพริกให้ละเอียด
2. คั้นมะพร้าวใส่น้ำ 1 1/4 ถ้วยตวง คั้นให้ได้กะทิ 2 ถ้วยตวง
3. ผัดน้ำพริกด้วยน้ำมันให้หอม ถ้าแห้งให้เติมกะทิ และใส่กะทิที่เหลือ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล และน้ำมะขาม ถั่วลิสง ยกลงใส่น้ำมันพริกลอยหน้า
อาจาด
น้ำส้ม 1/2 ถ้วยตวง
น้ำ 1/2 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำตาล 1/3 ถ้วยตวง
หอมแดงหั่น 4 หัว
พริกแดง 3 เม็ด
แตงกวาหั่น 4 ผล
วิธีทำอาจาด
ผสมน้ำ น้ำส้ม เกลือ น้ำตาล ทิ้งให้เย็นใส่ในหอมแดงและแตงกวา พริกแดงหั่นเป็นแว่น
วิธีปิ้ง ใช้ไฟแรงนำหมูที่เสียบไม้ไว้มาปิ้ง พรมด้วยหัวกะทิจนหมูสุก
เรื่องกล้วยๆ แต่ช่วยคุณได้เยอะ
เรื่องกล้วยๆ แต่ช่วยคุณได้เยอะ
เคยสังเกตบ้างมั้ยว่านักกีฬาระดับโลก อย่างเทนนิส หรือรถแข่ง มักจะกินผลไม้อะไรเป็นประจำในเวลาพักระหว่างเกม...ก็ 'กล้วย" ไง!!
กล้วย เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลสี่เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า สองเท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่าสามเท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่าห้าเท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่าสองเท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต
นอกจากนี้ กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติสามชนิด คือซูโครส (Sucrose) ฟรุคโตส (Fructose) และ กลูโคส (Glucose) น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงพวกไฟเบอร์หรือเส้นใยต่างๆ ซึ่งทำให้กล้วยกลายเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ทันที จากการวิจัยพบว่า กล้วยเพียงแค่สองผลให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานหนักนานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กล้วยเป็นผลไม้คู่กายของพวกนักกีฬาชั้นนำระดับโลก นอกจากกล้วยจะให้พลังงานมากมายแล้ว กล้วยยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเพิ่มความแข็งแรง สมบูรณ์ให้แก่ร่างกายของเราได้อีกด้วย เป็นต้นว่า
โรคซึมเศร้า จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆ คนรู้สึกดีขึ้นเมื่อกินกล้วยเหตุผลก็คือกล้วยมีส่วนประกอบของทริปโตแฟน (Tryptophan) โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่รู้จักกันดีว่าจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6 ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย ผู้หญิงที่มีอาการ PMS (Premenstrual Syndrome) หรือช่วง 'รมณ์บ่จอย' ก่อนมีประจำเดือน) ควรกินกล้วยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นนะจ๊ะ
โรคโลหิตจาง กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้ โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียมสูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ จึงช่วยปรับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ อีกทั้งกระตุ้นการทำงานของสมองให้รู้สึกตื่นตัว องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้
ท้องเสีย กล้วยดิบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญคือแทนนิน มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสีย โดยนำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่ง ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย
ท้องผูก กล้วยมีไฟเบอร์สูงช่วยให้ลำไส้ใหญ่ของเรากลับมาทำงานได้เป็นปกติโดยไม่ต้องพึ่งพาพวกยาถ่ายต่างๆ อีกต่อไป
แก้อาการเมาค้าง หนึ่งในวิธีรักษาอาการแฮงค์ให้เร็วที่สุดก็คือการกินน้ำกล้วยปั่น หรือ Banana Milkshake ผสมน้ำผึ้ง กล้วยช่วยให้กระเพาะอาหารกลับมาอยู่ในสภาพปกติ น้ำผึ้งช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และนมจะช่วยเพิ่มน้ำให้แก่ร่างกาย
รักษาอาการเจ็บเสียดหน้าอก กล้วยดิบตากแห้งช่วยให้เกิดปฏิกิริยาในร่างกาย ที่จะไปหักล้างกับกรดในกระเพาะอาหารที่มีเยอะเกินไป จนทำให้เรารู้สึกเจ็บเสียดที่หน้าอก-แก้อาการ Morning Sickness หรืออาการคลื่นไส้และอาเจียนเวลาตื่นนอนตอนเช้า จะเป็นมากในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ระยะแรก การกินกล้วยเป็นของว่างระหว่างมื้อจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด สามารถช่วยลดอาการ Morning Sickness ได้ดี
ระบบประสาท กล้วยมีวิตามินบีสูง ช่วยในการทำงานของระบบประสาท น้ำหนักเกินเพราะความเครียดจากการงาน จากการศึกษาของสถาบันด้านจิตวิทยาในออสเตรียพบว่า ความเครียดที่เกิดจากการทำงานนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่แย่ลง เช่น อาหารขยะ ช็อคโกแลตและมันฝรั่งทอดบ่อยๆ เมื่อพิจารณาผู้ป่วยกว่า 5,000 คน นักวิจัยพบว่าคนที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่ทำงานท่ามกลางแรงกดดันสูง รายงานนั้นสรุปว่าถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการกินอย่างไม่ยั้งคิด เราต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยเลือกกินของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตเยอะๆ ทุกสองชั่วโมง จะอะไรซะอีก...ก็ "กล้วย" ไง
รักษาแผลในกระเพาะอาหาร กล้วยเป็นอาหารที่ใช้ต่อสู้กับอาการผิดปกติต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารเนื่องจากกล้วยมีผิวสัมผัสที่นุ่มและลื่น เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่สามารถกินได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง รวมทั้งยังช่วยปรับภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารให้กลับสู่ปกติ ช่วยลดอาการระคายเคือง โดยทำหน้าที่ช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารได้ ตะคริว ผู้ที่มักจะเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่องบ่อยๆ การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย หลายๆ ท้องถิ่นเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยทำให้ทั้งอุณหภูมิร่างกายและอารมณ์ของคนที่กำลังจะเป็นแม่เย็นลงได้ ในประเทศไทย ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มักจะทานกล้วยเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กในครรภ์จะเกิดมาด้วยอุณหภูมิที่เย็น Seasonal Affective Disorder (SAD) กล้วยช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า จากสารประกอบ Tryptophan ที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์
ช่วยเลิกสูบบุหรี่ กล้วยยังสามารถช่วยคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ได้ด้วย กล้วยมีวิตามินบี 6 และ บี12 รวมไปถึงโปแตสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากผลของการเลิกนิโคติน
กันยุงกัด ก่อนที่จะไปหยิบเอายาทายุงกัดมาใช้ ลองเอาผิวด้านในของเปลือกกล้วยมาถูๆ บริเวณที่ยุงกัดดู หลายคนพบว่ามันช่วยลดอาการบวมและคันได้อย่างไม่น่าเชื่อ...แล้วคุณจะมอง "กล้วย" ในมุมที่เปลี่ยนไป...(ล้อมกรอบ)
ทราบหรือไม่แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
- ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละประมาณหนึ่งช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
- หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม
- ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
- รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
- เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นหูด ตุ่มคัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก
เคยสังเกตบ้างมั้ยว่านักกีฬาระดับโลก อย่างเทนนิส หรือรถแข่ง มักจะกินผลไม้อะไรเป็นประจำในเวลาพักระหว่างเกม...ก็ 'กล้วย" ไง!!
กล้วย เมื่อเปรียบเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิ้ลสี่เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า สองเท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่าสามเท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่าห้าเท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่าสองเท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงานของกล้ามเนื้อและประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต
นอกจากนี้ กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติสามชนิด คือซูโครส (Sucrose) ฟรุคโตส (Fructose) และ กลูโคส (Glucose) น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงพวกไฟเบอร์หรือเส้นใยต่างๆ ซึ่งทำให้กล้วยกลายเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ทันที จากการวิจัยพบว่า กล้วยเพียงแค่สองผลให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานหนักนานถึง 90 นาที จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่กล้วยเป็นผลไม้คู่กายของพวกนักกีฬาชั้นนำระดับโลก นอกจากกล้วยจะให้พลังงานมากมายแล้ว กล้วยยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเพิ่มความแข็งแรง สมบูรณ์ให้แก่ร่างกายของเราได้อีกด้วย เป็นต้นว่า
โรคซึมเศร้า จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆ คนรู้สึกดีขึ้นเมื่อกินกล้วยเหตุผลก็คือกล้วยมีส่วนประกอบของทริปโตแฟน (Tryptophan) โปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น เซโรโทนิน (Serotonin) ที่รู้จักกันดีว่าจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6 ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย ผู้หญิงที่มีอาการ PMS (Premenstrual Syndrome) หรือช่วง 'รมณ์บ่จอย' ก่อนมีประจำเดือน) ควรกินกล้วยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นนะจ๊ะ
โรคโลหิตจาง กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้ โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียมสูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ จึงช่วยปรับความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ อีกทั้งกระตุ้นการทำงานของสมองให้รู้สึกตื่นตัว องค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ ยอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้
ท้องเสีย กล้วยดิบมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญคือแทนนิน มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสีย โดยนำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้งหนึ่ง ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย
ท้องผูก กล้วยมีไฟเบอร์สูงช่วยให้ลำไส้ใหญ่ของเรากลับมาทำงานได้เป็นปกติโดยไม่ต้องพึ่งพาพวกยาถ่ายต่างๆ อีกต่อไป
แก้อาการเมาค้าง หนึ่งในวิธีรักษาอาการแฮงค์ให้เร็วที่สุดก็คือการกินน้ำกล้วยปั่น หรือ Banana Milkshake ผสมน้ำผึ้ง กล้วยช่วยให้กระเพาะอาหารกลับมาอยู่ในสภาพปกติ น้ำผึ้งช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และนมจะช่วยเพิ่มน้ำให้แก่ร่างกาย
รักษาอาการเจ็บเสียดหน้าอก กล้วยดิบตากแห้งช่วยให้เกิดปฏิกิริยาในร่างกาย ที่จะไปหักล้างกับกรดในกระเพาะอาหารที่มีเยอะเกินไป จนทำให้เรารู้สึกเจ็บเสียดที่หน้าอก-แก้อาการ Morning Sickness หรืออาการคลื่นไส้และอาเจียนเวลาตื่นนอนตอนเช้า จะเป็นมากในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ระยะแรก การกินกล้วยเป็นของว่างระหว่างมื้อจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด สามารถช่วยลดอาการ Morning Sickness ได้ดี
ระบบประสาท กล้วยมีวิตามินบีสูง ช่วยในการทำงานของระบบประสาท น้ำหนักเกินเพราะความเครียดจากการงาน จากการศึกษาของสถาบันด้านจิตวิทยาในออสเตรียพบว่า ความเครียดที่เกิดจากการทำงานนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่แย่ลง เช่น อาหารขยะ ช็อคโกแลตและมันฝรั่งทอดบ่อยๆ เมื่อพิจารณาผู้ป่วยกว่า 5,000 คน นักวิจัยพบว่าคนที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่ทำงานท่ามกลางแรงกดดันสูง รายงานนั้นสรุปว่าถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการกินอย่างไม่ยั้งคิด เราต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยเลือกกินของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตเยอะๆ ทุกสองชั่วโมง จะอะไรซะอีก...ก็ "กล้วย" ไง
รักษาแผลในกระเพาะอาหาร กล้วยเป็นอาหารที่ใช้ต่อสู้กับอาการผิดปกติต่างๆ ในระบบทางเดินอาหารเนื่องจากกล้วยมีผิวสัมผัสที่นุ่มและลื่น เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่สามารถกินได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง รวมทั้งยังช่วยปรับภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารให้กลับสู่ปกติ ช่วยลดอาการระคายเคือง โดยทำหน้าที่ช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารได้ ตะคริว ผู้ที่มักจะเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่องบ่อยๆ การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้
ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย หลายๆ ท้องถิ่นเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยทำให้ทั้งอุณหภูมิร่างกายและอารมณ์ของคนที่กำลังจะเป็นแม่เย็นลงได้ ในประเทศไทย ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มักจะทานกล้วยเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กในครรภ์จะเกิดมาด้วยอุณหภูมิที่เย็น Seasonal Affective Disorder (SAD) กล้วยช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้า จากสารประกอบ Tryptophan ที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์
ช่วยเลิกสูบบุหรี่ กล้วยยังสามารถช่วยคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ได้ด้วย กล้วยมีวิตามินบี 6 และ บี12 รวมไปถึงโปแตสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากผลของการเลิกนิโคติน
กันยุงกัด ก่อนที่จะไปหยิบเอายาทายุงกัดมาใช้ ลองเอาผิวด้านในของเปลือกกล้วยมาถูๆ บริเวณที่ยุงกัดดู หลายคนพบว่ามันช่วยลดอาการบวมและคันได้อย่างไม่น่าเชื่อ...แล้วคุณจะมอง "กล้วย" ในมุมที่เปลี่ยนไป...(ล้อมกรอบ)
ทราบหรือไม่แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น
- ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว
- ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละประมาณหนึ่งช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก
- หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม
- ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้
- รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก
- ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ
- เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นหูด ตุ่มคัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก
2008-10-18
บาร์บีคิวทะเล+ข้าวผัดกระเทียม
บาร์บีคิวทะเล+ข้าวผัดกระเทียม
ส่วนผสมบาร์บีคิวทะเล
กุ้งสดปอกเปลืออกตัดหาง 200 กรัม
ปลาหมึกสดหั่นตามขวาง200 กรัม
ซอสมะเขือเทศ1/3 ถ้วยตวง
ซอสพริก3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับละเอียด2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น1/2 ช้อนชา
เกลือป่น1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ผสมซอสมะเขือเทศ ซอสพริก กระเทียม พริกไทยป่น เกลือป่น น้ำมันพืช คนให้เข้ากัน
2. ใส่กุ้งสด ปลาหมึกลงในส่วนผสมข้อที่ 1 คลุกเคล้าให้เข้ากัน เสียบไม้หมักไว้ 20 นาที
3. ยางบาร์บีคิวทะเลในกระทะเทฟลอนให้สุก ราดด้วยซอสที่หมักให้ชุ่ม
4. จัดเสิร์ฟบาร์บีคิวทะเลกับข้าวผัดกระเทียมส่วนผสมข้าวผัดกระเทียม
ข้าวสวยหุงสุก4 ถ้วยตวง
ต้นหอมซอย3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาวหรือซีอิ๊วญี่ปุ่น1 1/2
แครอททั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ1/2 ถ้วยตวง
กระเทียมสับละเอียด1 ช้อนโต๊ะ
เนยสด2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่เนยสดลงในกระทะพอละลาย ใส่กระเทียมลงผัดให้หอม ใส่แครอทผัดให้สุก
2. ใส่ข้าวสุก ลงผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซีอิ๋วขาวผัดให้เข้ากัน ใส่ต้นหอมผัดให้กันอีกครั้งพร้อมจัดเสิร์ฟ
หมายเหตุ- รับประทานได้ 3-4 ที่- น้ำซอสบาร์บีคิวที่หมักนั้น นำไปตั้งไฟให้เดือดใช้เป็นซอสจิ้มเพิ่มความเข้มข้นให้กับอาหาร
ส่วนผสมบาร์บีคิวทะเล
กุ้งสดปอกเปลืออกตัดหาง 200 กรัม
ปลาหมึกสดหั่นตามขวาง200 กรัม
ซอสมะเขือเทศ1/3 ถ้วยตวง
ซอสพริก3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับละเอียด2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น1/2 ช้อนชา
เกลือป่น1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ผสมซอสมะเขือเทศ ซอสพริก กระเทียม พริกไทยป่น เกลือป่น น้ำมันพืช คนให้เข้ากัน
2. ใส่กุ้งสด ปลาหมึกลงในส่วนผสมข้อที่ 1 คลุกเคล้าให้เข้ากัน เสียบไม้หมักไว้ 20 นาที
3. ยางบาร์บีคิวทะเลในกระทะเทฟลอนให้สุก ราดด้วยซอสที่หมักให้ชุ่ม
4. จัดเสิร์ฟบาร์บีคิวทะเลกับข้าวผัดกระเทียมส่วนผสมข้าวผัดกระเทียม
ข้าวสวยหุงสุก4 ถ้วยตวง
ต้นหอมซอย3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาวหรือซีอิ๊วญี่ปุ่น1 1/2
แครอททั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ1/2 ถ้วยตวง
กระเทียมสับละเอียด1 ช้อนโต๊ะ
เนยสด2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่เนยสดลงในกระทะพอละลาย ใส่กระเทียมลงผัดให้หอม ใส่แครอทผัดให้สุก
2. ใส่ข้าวสุก ลงผัดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยซีอิ๋วขาวผัดให้เข้ากัน ใส่ต้นหอมผัดให้กันอีกครั้งพร้อมจัดเสิร์ฟ
หมายเหตุ- รับประทานได้ 3-4 ที่- น้ำซอสบาร์บีคิวที่หมักนั้น นำไปตั้งไฟให้เดือดใช้เป็นซอสจิ้มเพิ่มความเข้มข้นให้กับอาหาร
กินอย่างไรให้เป็นอัจฉริยะ
กินอย่างไรให้เป็นอัจฉริยะ
อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง ไม่เชื่อลองกินอาหารตามคำแนะนำของเราดูสิ รับรองคุณจะฉลาดเป็นกรดเชียวล่ะ
คุณกินครัวซองท์กับกาแฟดำเป็นอาหารเช้า แล้วตามด้วยบิสกิตช็อกโกแลตอีก 2 ชิ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ยังไม่ถึงมื้อเที่ยง ท้องก็ร้องอีกแล้ว บางครั้งคุณรู้สึกว่าตัวเองมีสมาธิและความจำสั้นเหมือนปลาทอง ไม่ต้องแปลกใจหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณ นั่นเป็นเพราะคุณไม่ได้รับสารอาหารจำเป็นที่ช่วยในการบำรุงสมอง
“การที่คนส่วนใหญ่จิตใจและสมองไม่ปลอดโปร่ง สดชื่น เป็นเพราะไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสม” แพทริค โฮลฟอร์ด นักโภชนาการกล่าว “สมองของเราประกอบขึ้นจากโมเลกุลที่ได้จากอาหาร อากาศ และน้ำ ดังนั้นอาหารที่เรากินย่อมส่งผลต่อการทำงานของสมอง”
หากต้องการเสริมสร้างสมอง คุณต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน อย่า...อย่า...งดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะจากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า การกินอาหารเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้ทำงานผิดพลาดน้อยลงและความจำดีขึ้น
ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอลพบว่า การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์สามารถช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้ อาหารจำพวกเบอร์เกอร์ บิสกิต เค้ก และขนมขบเคี้ยวไม่ช่วยให้คุณเป็นอัจฉริยะ จงหลีกเลี่ยง อาหารสำหรับสมองที่คุณรัก อาหารเช้า อาหารเช้าช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คุณจึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เมนูแนะนำ : ไข่ดาวน้ำซึ่งอุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสดๆ 1 แก้ว
อาหารว่าง หลีกเลี่ยงอาหารหวาน เลือกกินอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำ : โยเกิร์ตไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช 1 ช้อนชา
อาหารกลางวัน เนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล เมนูแนะนำ : สลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว
อาหารเย็น น้ำมันปลา เช่นน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก อย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ เมนูแนะนำ : ข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือ
อาหารที่คุณกินมีส่วนช่วยเสริมสร้างพลังสมอง ไม่เชื่อลองกินอาหารตามคำแนะนำของเราดูสิ รับรองคุณจะฉลาดเป็นกรดเชียวล่ะ
คุณกินครัวซองท์กับกาแฟดำเป็นอาหารเช้า แล้วตามด้วยบิสกิตช็อกโกแลตอีก 2 ชิ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา ยังไม่ถึงมื้อเที่ยง ท้องก็ร้องอีกแล้ว บางครั้งคุณรู้สึกว่าตัวเองมีสมาธิและความจำสั้นเหมือนปลาทอง ไม่ต้องแปลกใจหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นกับคุณ นั่นเป็นเพราะคุณไม่ได้รับสารอาหารจำเป็นที่ช่วยในการบำรุงสมอง
“การที่คนส่วนใหญ่จิตใจและสมองไม่ปลอดโปร่ง สดชื่น เป็นเพราะไม่ได้กินอาหารที่เหมาะสม” แพทริค โฮลฟอร์ด นักโภชนาการกล่าว “สมองของเราประกอบขึ้นจากโมเลกุลที่ได้จากอาหาร อากาศ และน้ำ ดังนั้นอาหารที่เรากินย่อมส่งผลต่อการทำงานของสมอง”
หากต้องการเสริมสร้างสมอง คุณต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน อย่า...อย่า...งดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะจากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า การกินอาหารเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้ทำงานผิดพลาดน้อยลงและความจำดีขึ้น
ขณะที่นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอลพบว่า การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์สามารถช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้ อาหารจำพวกเบอร์เกอร์ บิสกิต เค้ก และขนมขบเคี้ยวไม่ช่วยให้คุณเป็นอัจฉริยะ จงหลีกเลี่ยง อาหารสำหรับสมองที่คุณรัก อาหารเช้า อาหารเช้าช่วยให้สมองปลอดโปร่ง คุณจึงทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เมนูแนะนำ : ไข่ดาวน้ำซึ่งอุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสดๆ 1 แก้ว
อาหารว่าง หลีกเลี่ยงอาหารหวาน เลือกกินอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำ : โยเกิร์ตไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช 1 ช้อนชา
อาหารกลางวัน เนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนซึ่งช่วยในการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล เมนูแนะนำ : สลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว
อาหารเย็น น้ำมันปลา เช่นน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก อย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ เมนูแนะนำ : ข้าวซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือ
2008-10-17
ซี่โครงหมูอบโคล่า
ซี่โครงหมูอบโคล่า
นุ่มชุ่มปากกับซี่โครงหมูแสนอร่อยเรียบง่ายได้ความเพลิดเพลิน
ส่วนประกอบ
* ซี่โครงหมู 1 กิโลกรัม
* น้ำโคล่า 1 ขวด
* กระเทียมกลีบใหญ่หั่นเป็นชิ้นบางๆ 4-5 กลีบ
* พริกไทยดำตำพอแตก 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
* ผงปรุงรส 1 ช้อนชา
* เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
+ ล้างซี่โครงหมูให้สะอาดแล้วทิ้งไว้พอสะเด็ดน้ำ
+ นำซี่โครงหมูใส่หม้ออบแล้วเทน้ำโคล่าลงไป โรยเกลือให้ทั่ว ปิดฝาอบไว้สักครู่ โดยใช้ความร้อนปานกลาง จากนั้นรอจนน้ำโคล่าเริ่มขลุกขลิก
+ หลังจากซี่โครงหมูเริ่มได้ที่แล้วให้ใส่น้ำมันหอย พริกไทยดำและผงปรุงรส คนให้เข้ากันแล้วอบต่อไปอีกประมาณ 30 นาที รอจนซี่โครงหมูนุ่มได้ที่ จากนั้นก็พร้อมเสิร์ฟได้ทันที
นุ่มชุ่มปากกับซี่โครงหมูแสนอร่อยเรียบง่ายได้ความเพลิดเพลิน
ส่วนประกอบ
* ซี่โครงหมู 1 กิโลกรัม
* น้ำโคล่า 1 ขวด
* กระเทียมกลีบใหญ่หั่นเป็นชิ้นบางๆ 4-5 กลีบ
* พริกไทยดำตำพอแตก 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมันหอย 2 ช้อนโต๊ะ
* ผงปรุงรส 1 ช้อนชา
* เกลือป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
+ ล้างซี่โครงหมูให้สะอาดแล้วทิ้งไว้พอสะเด็ดน้ำ
+ นำซี่โครงหมูใส่หม้ออบแล้วเทน้ำโคล่าลงไป โรยเกลือให้ทั่ว ปิดฝาอบไว้สักครู่ โดยใช้ความร้อนปานกลาง จากนั้นรอจนน้ำโคล่าเริ่มขลุกขลิก
+ หลังจากซี่โครงหมูเริ่มได้ที่แล้วให้ใส่น้ำมันหอย พริกไทยดำและผงปรุงรส คนให้เข้ากันแล้วอบต่อไปอีกประมาณ 30 นาที รอจนซี่โครงหมูนุ่มได้ที่ จากนั้นก็พร้อมเสิร์ฟได้ทันที
กินถั่วลดไขมันในเลือด
กินถั่วลดไขมันในเลือด
อาหารมีส่วนมากที่จะทำให้คนมีอายุยืนหรืออายุสั้น สถิติของวิทยุบีบีซีบอกว่าอายุเฉลี่ยของผู้ชายไทย 66 ปี ผู้หญิงไทยอายุเฉลี่ย 74 ปี น่าสังเกตว่าผู้ชายไทยใช้ชีวิตเปลืองมาก อาจรวมการตายจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ที่ผู้ชายใช้มากกว่าผู้หญิง และขับท้ามฤตยูมากกว่าผู้หญิงก็ได้ ลองสังเกตร้านอาหารในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน มองเข้าไปร้านไหน ๆ ก็มีแต่ผู้ชายกินเหล้ากันเต็ม ผู้หญิงทำงานนอกบ้านเท่ากัน แต่เลิกงานรีบกลับบ้านไปดูแลลูก ทำกับข้าวให้คนทั้งบ้านกิน และผู้หญิงส่วนมากไม่ดื่มเหล้า
ถึงผู้หญิงจะมีอายุยืนมากกว่าผู้ชายมาก แต่ที่น่ากลัวคือ มีผู้หญิงอ้วนมากขึ้น และเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจมากขึ้น มีอาการหนักถึงขั้นเส้นเลือดแตก จนเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ไปครึ่งตัว ช่วยตัวเองไม่ได้ เดินไม่ได้ จะกินอาหาร จะนอน จะขับถ่าย ต้องมีคนช่วยจับยกร่างกาย หลายคนคิดว่าถ้าต้องเป็นอย่างนั้น ตายเสียดีกว่า แต่จะตายเองก็ตายไม่ได้เสียด้วย
อาหารกำหนดความแข็งแรงหรืออ่อนแอได้มาก พร้อมๆกับการออกกำลังกาย การได้รับอากาศบริสุทธิ์ ดูคนมีอายุเกินร้อย ไม่มีคนไหนที่อ้วน สมัยก่อนคนไทยไม่กินอาหารมัน ไขมันที่ใช้มีแต่กะทิ และส่วนมากอาหารไทยไม่ใส่กะทิ เพราะการจะปอกมะพร้าว ขูดมะพร้าว คั้นกะทิเป็นเรื่องยุ่งยาก สมัยนี้เปิดกล่องเทออกมาก็ได้กะทิ น้ำมันก็มีอยู่ในขวดข้างเตาที่ทำอาหาร คนกินแกงกะทิ กินอาหารทอด อาหารผัดมากขึ้น มีคนอ้วนมากขึ้น
ไขมันในถั่วเมล็ดแห้งเป็นไขมันที่ดี ไม่เกาะเส้นเลือด ช่วยลดโคเลสเตอรอลที่เป็นตัวการทำให้เส้นเลือดตีบ ไม่ต้องห่วงโคเลสเตอรอลในอาหาร ถ้าอาหารมาจากพืชจะไม่มีโคเลสเตอรอล อาหารที่มาจากสัตว์มีโคเลสเตอรอลมากบ้างน้อยบ้าง แต่ไขมันในถั่ว เช่นถั่วลิสง ถั่วเหลือง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วปากอ้า เป็นไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่มีประโยชน์ ที่เดี๋ยวนี้พูดกันสั้น ๆ ว่าโอเมก้า 3 ความจริงเป็นกรดไขมันที่แตกตัวได้ง่าย ที่ตำแหน่งที่ 3 จากท้ายสุดของโมเลกุล กินกรดไขมันพวกนี้แล้วร่างกายไม่สะสมโคเลสเตอรอลจึงแนะนำกันให้กินถั่วแทนเนื้อสัตว์ในบางมื้อ
ถั่วเมล็ดแห้งมีไขมันอยู่มาก กินแล้วอิ่มทน มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตด้วย จึงเป็นอาหารที่ให้สารอาหารหลายชนิด คนที่อายุยืนทั้งหลายมักจะให้สัมภาษณ์ว่า กินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ อาจจะกินเป็นเม็ด กินเป็นเต้าหู้ หรือกินถั่วอบกรอบ ฝรั่งกินขนมปังกับเนยถั่วเป็นอาหารหลัก เนยถั่วทำจากถั่วลิสงบดจนเนียนนุ่ม ปรุงรสเค็มเล็กน้อย ทาขนมปังกินได้เร็วเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง อิ่มทน อร่อยและมีประโยชน์ เด็กฝรั่งกินเนยถั่วเป็นอาหารว่างประจำวัน เลิกโรงเรียนมา ทาเนยถั่วบนขนมปัง ถ้าชอบหวาน ทาแยมทับอีกทีหนึ่ง อิ่มถึงมื้อต่อไป เหมาะสำหรับเด็กนักเรียนและวัยรุ่น เป็นของว่างที่เด็กทำเองได้ง่ายๆ พ่อแม่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้
คนไทยกินถั่วลิสงต้ม ถั่วทอด กระยาสารทเป็นอาหารว่างที่อิ่มทนและราคาไม่แพงกระยาสารทเป็นขนมที่อร่อยเท่ากับขนมแพง ๆ กินกับกล้วยไข่ จะได้สารอาหารเท่ากับกินข้าวทั้งมื้อ ต้องเลือกซื้อกระยาสารทที่มีถั่วมีงามาก ๆ บางทีได้แต่ข้าวกับน้ำเชื่อม กินแล้วอ้วนเร็วเท่า ๆ กับกินขนมหวาน เมื่อกินแล้วต้องอดอย่างอื่น ๆ ไม่ใช่กินข้าวจนอิ่มแล้วกินกระยาสารทเป็นขนม แบบนี้เพิ่มน้ำหนักแทนที่จะลดไขมันในเลือด
ถั่วลิสงอิ่มนานกว่ากินข้าว ในถั่วลิสงมีน้ำมันมากกว่าในเนื้อสัตว์หลายชนิด เมื่อเติมถั่วลิสงคั่วบดลงในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ จะอิ่มมากกว่ากินก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ถั่วเหลืองที่ใช้ทำเนื้อเทียมเป็นโปรตีนที่ดีมาก ส่วนมากจะไม่ทำเป็นอาหารกันเว้นแต่ในช่วงกินเจ ใช้ผสมเนื้อหมูบดผัดกะเพราได้อร่อย ราคาต้นทุนถูกลง มีประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิมผัดกะเพราหมูล้วน ๆ
กินถั่วอบ ถั่วคั่ว ถั่วทอด เป็นอาหารว่างทุกวัน ช่วยลดไขมันในเลือด ใช้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดี ทำให้หิวอาหารน้อยลง กินอาหารอื่นๆน้อยลง ผู้จัดอาหารงานเลี้ยงมักจะมีถั่วทอดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ถึงแม้ว่าอาหารจะมาช้า แขกยังไม่หิวมาก แขกอิ่มอาหารเร็ว ไม่เปลืองอาหารที่เลี้ยง
ถั่วลิสงเป็นเครื่องปรุงในน้ำแกงบางอย่าง ให้กลิ่นหอมและเพิ่มความข้น บางคนแพ้ถั่วลิสง ในต่างประเทศต้องระบุในรายการอาหารอย่างชัดเจน ถ้าอาหารรายการใดมีถั่วลิสงเป็นส่วนประกอบ คงจำกันได้เมื่อมีข่าวสาวตายเพราะจูบหนุ่มที่เพิ่งกินเนยถั่วมา สาวแพ้ถั่วอย่างรุนแรง เพียงถั่วที่ค้างอยู่ในปากหนุ่ม ทำให้สาวถึงตายได้
ทารกแรกเกิดบางคนแพ้น้ำนมวัว ต้องดื่มนมที่ทำจากถั่วเหลืองแทน คนเรามีความชอบไม่ชอบ การแพ้ไม่แพ้แตกต่างกัน อาหารที่มีประโยชน์มากของคนหนึ่ง อาจเป็นอันตรายของอีกคน แพ้ถั่วอย่างหนึ่งอาจไม่แพ้อย่างอื่น ถึงอย่างไร ถ้าถั่วมีประโยชน์และราคาถูกกว่า ก็น่าจะกินให้มากขึ้น
การกินอาหารอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้อายุยืน การออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญ ทุกวันต้องได้ทำกิจกรรมใช้แรงที่รู้สึกเหนื่อย อย่านั่งหรือยืนอยู่กับที่ เมื่อยกับเหนื่อยไม่เหมือนกันนั่งนาน ๆ ในท่าเดียวจะเมื่อย แต่นั่งเฉย ๆ ไม่เหนื่อย ต้องเดินเร็ว ๆ เดินนาน ๆ จึงจะเหนื่อย คนทำอาชีพขายของ นั่งหรือยืนอยู่กับที่ เดินบ้างแต่ไม่ใช่เดินให้เหนื่อย ไม่ได้ออกกำลังกาย อาหารที่กินจะสะสมเป็นไขมัน ทำให้อ้วนและเส้นเลือดตีบได้
การได้รับอากาศบริสุทธิ์สำคัญต่อสุขภาพ คนไม่สูบบุหรี่แต่อยู่กับคนสูบบุหรี่ มีโอกาสเป็นมะเร็งเท่าๆกับหรือมากกว่าคนที่สูบเอง ควันไฟอื่นๆทำให้เป็นมะเร็งได้เท่า ๆ กับควันบุหรี่ คนขายไก่ย่าง ทอดกล้วยแขก ผัดก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่มีเครื่องดูดควัน สูดควันเข้าไปทุกวันเป็นอันตราย คนเดินถนนที่มีรถติดตลอดเวลา เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นเดียวกัน เมื่อกินอาหารถูกต้องแล้ว ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หนีห่างจากอากาศเป็นพิษ จึงจะมีร่างกายแข็งแรง สนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ ไม่น่าจะเป็นงานหรือเล่น
อาหารมีส่วนมากที่จะทำให้คนมีอายุยืนหรืออายุสั้น สถิติของวิทยุบีบีซีบอกว่าอายุเฉลี่ยของผู้ชายไทย 66 ปี ผู้หญิงไทยอายุเฉลี่ย 74 ปี น่าสังเกตว่าผู้ชายไทยใช้ชีวิตเปลืองมาก อาจรวมการตายจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ ที่ผู้ชายใช้มากกว่าผู้หญิง และขับท้ามฤตยูมากกว่าผู้หญิงก็ได้ ลองสังเกตร้านอาหารในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงาน มองเข้าไปร้านไหน ๆ ก็มีแต่ผู้ชายกินเหล้ากันเต็ม ผู้หญิงทำงานนอกบ้านเท่ากัน แต่เลิกงานรีบกลับบ้านไปดูแลลูก ทำกับข้าวให้คนทั้งบ้านกิน และผู้หญิงส่วนมากไม่ดื่มเหล้า
ถึงผู้หญิงจะมีอายุยืนมากกว่าผู้ชายมาก แต่ที่น่ากลัวคือ มีผู้หญิงอ้วนมากขึ้น และเป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจมากขึ้น มีอาการหนักถึงขั้นเส้นเลือดแตก จนเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ไปครึ่งตัว ช่วยตัวเองไม่ได้ เดินไม่ได้ จะกินอาหาร จะนอน จะขับถ่าย ต้องมีคนช่วยจับยกร่างกาย หลายคนคิดว่าถ้าต้องเป็นอย่างนั้น ตายเสียดีกว่า แต่จะตายเองก็ตายไม่ได้เสียด้วย
อาหารกำหนดความแข็งแรงหรืออ่อนแอได้มาก พร้อมๆกับการออกกำลังกาย การได้รับอากาศบริสุทธิ์ ดูคนมีอายุเกินร้อย ไม่มีคนไหนที่อ้วน สมัยก่อนคนไทยไม่กินอาหารมัน ไขมันที่ใช้มีแต่กะทิ และส่วนมากอาหารไทยไม่ใส่กะทิ เพราะการจะปอกมะพร้าว ขูดมะพร้าว คั้นกะทิเป็นเรื่องยุ่งยาก สมัยนี้เปิดกล่องเทออกมาก็ได้กะทิ น้ำมันก็มีอยู่ในขวดข้างเตาที่ทำอาหาร คนกินแกงกะทิ กินอาหารทอด อาหารผัดมากขึ้น มีคนอ้วนมากขึ้น
ไขมันในถั่วเมล็ดแห้งเป็นไขมันที่ดี ไม่เกาะเส้นเลือด ช่วยลดโคเลสเตอรอลที่เป็นตัวการทำให้เส้นเลือดตีบ ไม่ต้องห่วงโคเลสเตอรอลในอาหาร ถ้าอาหารมาจากพืชจะไม่มีโคเลสเตอรอล อาหารที่มาจากสัตว์มีโคเลสเตอรอลมากบ้างน้อยบ้าง แต่ไขมันในถั่ว เช่นถั่วลิสง ถั่วเหลือง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วปากอ้า เป็นไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่มีประโยชน์ ที่เดี๋ยวนี้พูดกันสั้น ๆ ว่าโอเมก้า 3 ความจริงเป็นกรดไขมันที่แตกตัวได้ง่าย ที่ตำแหน่งที่ 3 จากท้ายสุดของโมเลกุล กินกรดไขมันพวกนี้แล้วร่างกายไม่สะสมโคเลสเตอรอลจึงแนะนำกันให้กินถั่วแทนเนื้อสัตว์ในบางมื้อ
ถั่วเมล็ดแห้งมีไขมันอยู่มาก กินแล้วอิ่มทน มีโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตด้วย จึงเป็นอาหารที่ให้สารอาหารหลายชนิด คนที่อายุยืนทั้งหลายมักจะให้สัมภาษณ์ว่า กินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ อาจจะกินเป็นเม็ด กินเป็นเต้าหู้ หรือกินถั่วอบกรอบ ฝรั่งกินขนมปังกับเนยถั่วเป็นอาหารหลัก เนยถั่วทำจากถั่วลิสงบดจนเนียนนุ่ม ปรุงรสเค็มเล็กน้อย ทาขนมปังกินได้เร็วเป็นอาหารเช้าหรืออาหารว่าง อิ่มทน อร่อยและมีประโยชน์ เด็กฝรั่งกินเนยถั่วเป็นอาหารว่างประจำวัน เลิกโรงเรียนมา ทาเนยถั่วบนขนมปัง ถ้าชอบหวาน ทาแยมทับอีกทีหนึ่ง อิ่มถึงมื้อต่อไป เหมาะสำหรับเด็กนักเรียนและวัยรุ่น เป็นของว่างที่เด็กทำเองได้ง่ายๆ พ่อแม่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้
คนไทยกินถั่วลิสงต้ม ถั่วทอด กระยาสารทเป็นอาหารว่างที่อิ่มทนและราคาไม่แพงกระยาสารทเป็นขนมที่อร่อยเท่ากับขนมแพง ๆ กินกับกล้วยไข่ จะได้สารอาหารเท่ากับกินข้าวทั้งมื้อ ต้องเลือกซื้อกระยาสารทที่มีถั่วมีงามาก ๆ บางทีได้แต่ข้าวกับน้ำเชื่อม กินแล้วอ้วนเร็วเท่า ๆ กับกินขนมหวาน เมื่อกินแล้วต้องอดอย่างอื่น ๆ ไม่ใช่กินข้าวจนอิ่มแล้วกินกระยาสารทเป็นขนม แบบนี้เพิ่มน้ำหนักแทนที่จะลดไขมันในเลือด
ถั่วลิสงอิ่มนานกว่ากินข้าว ในถั่วลิสงมีน้ำมันมากกว่าในเนื้อสัตว์หลายชนิด เมื่อเติมถั่วลิสงคั่วบดลงในก๋วยเตี๋ยวต้มยำ จะอิ่มมากกว่ากินก๋วยเตี๋ยวธรรมดา ถั่วเหลืองที่ใช้ทำเนื้อเทียมเป็นโปรตีนที่ดีมาก ส่วนมากจะไม่ทำเป็นอาหารกันเว้นแต่ในช่วงกินเจ ใช้ผสมเนื้อหมูบดผัดกะเพราได้อร่อย ราคาต้นทุนถูกลง มีประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิมผัดกะเพราหมูล้วน ๆ
กินถั่วอบ ถั่วคั่ว ถั่วทอด เป็นอาหารว่างทุกวัน ช่วยลดไขมันในเลือด ใช้เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยได้ดี ทำให้หิวอาหารน้อยลง กินอาหารอื่นๆน้อยลง ผู้จัดอาหารงานเลี้ยงมักจะมีถั่วทอดเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย ถึงแม้ว่าอาหารจะมาช้า แขกยังไม่หิวมาก แขกอิ่มอาหารเร็ว ไม่เปลืองอาหารที่เลี้ยง
ถั่วลิสงเป็นเครื่องปรุงในน้ำแกงบางอย่าง ให้กลิ่นหอมและเพิ่มความข้น บางคนแพ้ถั่วลิสง ในต่างประเทศต้องระบุในรายการอาหารอย่างชัดเจน ถ้าอาหารรายการใดมีถั่วลิสงเป็นส่วนประกอบ คงจำกันได้เมื่อมีข่าวสาวตายเพราะจูบหนุ่มที่เพิ่งกินเนยถั่วมา สาวแพ้ถั่วอย่างรุนแรง เพียงถั่วที่ค้างอยู่ในปากหนุ่ม ทำให้สาวถึงตายได้
ทารกแรกเกิดบางคนแพ้น้ำนมวัว ต้องดื่มนมที่ทำจากถั่วเหลืองแทน คนเรามีความชอบไม่ชอบ การแพ้ไม่แพ้แตกต่างกัน อาหารที่มีประโยชน์มากของคนหนึ่ง อาจเป็นอันตรายของอีกคน แพ้ถั่วอย่างหนึ่งอาจไม่แพ้อย่างอื่น ถึงอย่างไร ถ้าถั่วมีประโยชน์และราคาถูกกว่า ก็น่าจะกินให้มากขึ้น
การกินอาหารอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้อายุยืน การออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญ ทุกวันต้องได้ทำกิจกรรมใช้แรงที่รู้สึกเหนื่อย อย่านั่งหรือยืนอยู่กับที่ เมื่อยกับเหนื่อยไม่เหมือนกันนั่งนาน ๆ ในท่าเดียวจะเมื่อย แต่นั่งเฉย ๆ ไม่เหนื่อย ต้องเดินเร็ว ๆ เดินนาน ๆ จึงจะเหนื่อย คนทำอาชีพขายของ นั่งหรือยืนอยู่กับที่ เดินบ้างแต่ไม่ใช่เดินให้เหนื่อย ไม่ได้ออกกำลังกาย อาหารที่กินจะสะสมเป็นไขมัน ทำให้อ้วนและเส้นเลือดตีบได้
การได้รับอากาศบริสุทธิ์สำคัญต่อสุขภาพ คนไม่สูบบุหรี่แต่อยู่กับคนสูบบุหรี่ มีโอกาสเป็นมะเร็งเท่าๆกับหรือมากกว่าคนที่สูบเอง ควันไฟอื่นๆทำให้เป็นมะเร็งได้เท่า ๆ กับควันบุหรี่ คนขายไก่ย่าง ทอดกล้วยแขก ผัดก๋วยเตี๋ยว ถ้าไม่มีเครื่องดูดควัน สูดควันเข้าไปทุกวันเป็นอันตราย คนเดินถนนที่มีรถติดตลอดเวลา เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นเดียวกัน เมื่อกินอาหารถูกต้องแล้ว ยังต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หนีห่างจากอากาศเป็นพิษ จึงจะมีร่างกายแข็งแรง สนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ ไม่น่าจะเป็นงานหรือเล่น
2008-10-16
เต้าหู้บอลไส้บรอกโคลี
เต้าหู้บอลไส้บรอกโคลี
ส่วนผสม
บรอกโคลี (ดอกละ 100 กรัม) 2 ดอก
เต้าหู้ชนิดแข็งปานกลาง (ก้อนละ 150 กรัม) 4 ก้อน
มายองเนส1 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1 ช้อนชา
แป้งทอดกรอบ 3/4 ถ้วย
ไข่แดง 2 ฟอง
ไข่ไก่ 2 ฟอง
เกล็ดขนมปัง2 ถ้วย
น้ำมันพืช 4 ถ้วย
** ตีไข่แดงกับไข่ไก่เข้าด้วยกันมายองเนส (ปริมาณ 3/4 ถ้วย)
น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายชนิดไม่ฟอก 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำบด 1/4 ช้อนชา
ไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง
ดิจองมัสตาร์ด 1 ช้อนชา
น้ำมันถั่วเหลือง 1/2 ถ้วย
วิธีทำ1. ทำมายองเนสโดยผสมน้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำตาล เกลือ และพริกไทย เข้าด้วยกันในถ้วย จากนั้นตีไข่แดงในชามแก้วจนมีสีครีมนวล ใส่ดิจองมัสตาร์ด ตีจนเข้ากัน ค่อยๆใส่น้ำมันทีละน้อย สลับกับน้ำส้มสายชูที่ผสม จบด้วยการใส่น้ำมัน
2. ล้างบรอกโคลี หั่นเป็นดอกเล็กๆใส่ลงลวกในหม้อน้ำเดือดที่ใส่เกลือเล็กน้อยจนสุกเขียว ตักขึ้นแช่น้ำแข็งจนเย็น สงขึ้นพักไว้
3. ต้มเต้าหู้ในหม้อน้ำเดือดจนสุกลอย ตักขึ้นแช่น้ำเย็น ซับให้แห้ง ใส่ในอ่างผสม ยีให้ละเอียด ใส่มายองเนส เกลือ พริกไทยดำ ผสมเข้ากันดี ปั้นเป็นก้อน 25 ก้อน
4. นำเต้าหู้ที่ทำแต่ละก้อนมาหุ้มบรอกโคลีลวก จากนั้นคลุกแป้งทอดกรอบให้ทั่วแล้วชุบไข่ จากนั้นคลุกเกร็ดขนมปังจนทั่ว นำเข้าแช่ในตู้เย็น (เพื่อให้เกล็ดขนาปังเกาะดี)
5. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่เต้าหู้บอลไส้บรอกโคลีลงทอด ลดเป็นไฟอ่อน ทอดจนเหลืองทั่ว ตักใส่กระดาษซับน้ำมัน จัดใส่จานที่รองด้วยผักการดแก้วและกะหล่ำปลี ตกแต่งด้วยเลมอน เสิร์ฟร้อนๆ
ส่วนผสม
บรอกโคลี (ดอกละ 100 กรัม) 2 ดอก
เต้าหู้ชนิดแข็งปานกลาง (ก้อนละ 150 กรัม) 4 ก้อน
มายองเนส1 ช้อนชา
พริกไทยดำป่น 1 ช้อนชา
แป้งทอดกรอบ 3/4 ถ้วย
ไข่แดง 2 ฟอง
ไข่ไก่ 2 ฟอง
เกล็ดขนมปัง2 ถ้วย
น้ำมันพืช 4 ถ้วย
** ตีไข่แดงกับไข่ไก่เข้าด้วยกันมายองเนส (ปริมาณ 3/4 ถ้วย)
น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายชนิดไม่ฟอก 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 1/2 ช้อนชา
พริกไทยดำบด 1/4 ช้อนชา
ไข่แดงของไข่ไก่ 1 ฟอง
ดิจองมัสตาร์ด 1 ช้อนชา
น้ำมันถั่วเหลือง 1/2 ถ้วย
วิธีทำ1. ทำมายองเนสโดยผสมน้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำตาล เกลือ และพริกไทย เข้าด้วยกันในถ้วย จากนั้นตีไข่แดงในชามแก้วจนมีสีครีมนวล ใส่ดิจองมัสตาร์ด ตีจนเข้ากัน ค่อยๆใส่น้ำมันทีละน้อย สลับกับน้ำส้มสายชูที่ผสม จบด้วยการใส่น้ำมัน
2. ล้างบรอกโคลี หั่นเป็นดอกเล็กๆใส่ลงลวกในหม้อน้ำเดือดที่ใส่เกลือเล็กน้อยจนสุกเขียว ตักขึ้นแช่น้ำแข็งจนเย็น สงขึ้นพักไว้
3. ต้มเต้าหู้ในหม้อน้ำเดือดจนสุกลอย ตักขึ้นแช่น้ำเย็น ซับให้แห้ง ใส่ในอ่างผสม ยีให้ละเอียด ใส่มายองเนส เกลือ พริกไทยดำ ผสมเข้ากันดี ปั้นเป็นก้อน 25 ก้อน
4. นำเต้าหู้ที่ทำแต่ละก้อนมาหุ้มบรอกโคลีลวก จากนั้นคลุกแป้งทอดกรอบให้ทั่วแล้วชุบไข่ จากนั้นคลุกเกร็ดขนมปังจนทั่ว นำเข้าแช่ในตู้เย็น (เพื่อให้เกล็ดขนาปังเกาะดี)
5. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่เต้าหู้บอลไส้บรอกโคลีลงทอด ลดเป็นไฟอ่อน ทอดจนเหลืองทั่ว ตักใส่กระดาษซับน้ำมัน จัดใส่จานที่รองด้วยผักการดแก้วและกะหล่ำปลี ตกแต่งด้วยเลมอน เสิร์ฟร้อนๆ
ตำรับอาหารไทยเพื่อสุขภาพ
ตำรับอาหารไทยเพื่อสุขภาพ
ตำรับอาหารไทยเพื่อสุขภาพที่จะนำเสนอมี 3 ตำรับคือ ข้าวยำ ห่อหมกปลา และแกงป่า โดยความเป็นจริงแล้วยังมีตำรับอาหารไทยเพื่อสุขภาพอื่นๆ อีกมากที่มีคุณค่าอันยังประโยชน์ใหญ่หลวงต่อสุขภาพ
ข้าวยำ
เป็นอาหารที่ให้พลังงานค่อนข้างมาก ให้โปรตีนสูงแต่ไขมันน้อย เป็นอาหารที่ให้ธาตุเหล็กสูงมาก และยังให้วิตามินเอและวิตามินบี 1 สูงเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเป็นอาหารบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง และบำรุงโลหิต ข้าวยำเป็นอาหารที่มีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินของชาวใต้ ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้คือ "น้ำบูดู" ซึ่งเป็นภูมิปัญญาในการปรุงแต่งรสอาหารของชาวใต้ โดยเป็นการนำเอาพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านมาเป็นเครื่องปรุงที่มีคุณค่าอาหารสูง และเป็นความชาญฉลาดที่นำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาปรุงเป็นยาแต่อยู่ในรูปของอาหาร
ห่อหมกปลา
เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่ให้โปรตีนและไขมันน้อย เป็นอาหารที่ให้ธาตุแคลเซียมสูงเป็นพิเศษ ประกอบด้วย เครื่องปรุงสมุนไพรหลายชนิดที่ช่วยให้มีคุณค่าอาหารสูง สรรพคุณทางยาของห่อหมกปลาส่วนใหญ่มาจากเครื่องปรุงสมุนไพร เช่น กระชาย กระเทียม ใบยอ ข่า ตระไคร้ โหระพา พริก รากผักชี ทำให้เป็นอาหารที่บำรุงธาตุ บำรุงกระดูก เจริญอาหาร ขับลม ขับเหงื่อแก้จุกเสียด ช่วยลดความดันโลหิตสูง ทางด้านภูมิปัญญานั้น คือ เป็นการนำเอาเครื่องปรุงสมุนไพรหลากรสมารวมกับกะทิและเนื้อปลา กลายเป็นยาในรูปแบบของอาหารที่มีคุณค่าสูง และยังมีศิลปะในการนำใบตองมาห่อแทนการใช้ภาชนะ เพิ่มกลิ่นรส ร่วมกับใบยออ่อนที่ใช้รอง เป็นการผสมผสานการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติโดยแท้
แกงป่า
เป็นอาหารที่ให้พลังงานและไขมันต่ำ แต่ให้กากและใยอาหารสูงมาก ให้แร่ธาตุและวิตามินสูงเกือบทุกชนิด ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยลดความดันโลหิต ฆ่าพยาธิและเชื้อแบคทีเรีย แกงป่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในการจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด โดยการนำผักพื้นบ้านและสมุนไพรหลากหลายชนิดมาปรุงอย่างง่าย ๆ แต่ได้รสกลมกล่อม เป็นการปรุงยาให้อยู่ในรูปอาหารที่อร่อยมาก
จะเห็นได้ว่าอาหารไทยมีคุณลักษณะพิเศษ อย่างน้อยสามารถจำแนกตามการใช้ประโยชน์ หรือตามคุณค่าได้ถึง 3 ด้าน คือ ด้านคุณค่าทางอาหารและโภชนาการ ด้านคุณค่าทางยาและสมุนไพร และด้านคุณค่าทางภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรม ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารเลี้ยงประชากรโลกรายใหญ่ เป็นอันดับที่ 5 ของโลก รองจาก อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส อาหารไทยจึงควรมีบทบาทอย่างสูงในสังคมโลก ไม่เพียง แค่ขายอาหารในด้านคุณค่าทางโภชนาการ แต่ควรนำจุดเด่นคุณค่าอีก 2 ด้าน คือ ค้านคุณค่าทางยาและภูมิปัญญามาเป็นจุดขายเพื่อเพิ่มมูลค่าและความนิยมให้กับอาหารไทยมากขึ้น อันจะนำไปสู่ความสามารถในการแข่งขันบนเวทีการค้าโลกได้อย่างสง่างาม
ตำรับอาหารไทยเพื่อสุขภาพที่จะนำเสนอมี 3 ตำรับคือ ข้าวยำ ห่อหมกปลา และแกงป่า โดยความเป็นจริงแล้วยังมีตำรับอาหารไทยเพื่อสุขภาพอื่นๆ อีกมากที่มีคุณค่าอันยังประโยชน์ใหญ่หลวงต่อสุขภาพ
ข้าวยำ
เป็นอาหารที่ให้พลังงานค่อนข้างมาก ให้โปรตีนสูงแต่ไขมันน้อย เป็นอาหารที่ให้ธาตุเหล็กสูงมาก และยังให้วิตามินเอและวิตามินบี 1 สูงเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเป็นอาหารบำรุงธาตุ บำรุงกำลัง และบำรุงโลหิต ข้าวยำเป็นอาหารที่มีลักษณะเฉพาะที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินของชาวใต้ ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบที่ขาดไม่ได้คือ "น้ำบูดู" ซึ่งเป็นภูมิปัญญาในการปรุงแต่งรสอาหารของชาวใต้ โดยเป็นการนำเอาพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านมาเป็นเครื่องปรุงที่มีคุณค่าอาหารสูง และเป็นความชาญฉลาดที่นำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาปรุงเป็นยาแต่อยู่ในรูปของอาหาร
ห่อหมกปลา
เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูงแต่ให้โปรตีนและไขมันน้อย เป็นอาหารที่ให้ธาตุแคลเซียมสูงเป็นพิเศษ ประกอบด้วย เครื่องปรุงสมุนไพรหลายชนิดที่ช่วยให้มีคุณค่าอาหารสูง สรรพคุณทางยาของห่อหมกปลาส่วนใหญ่มาจากเครื่องปรุงสมุนไพร เช่น กระชาย กระเทียม ใบยอ ข่า ตระไคร้ โหระพา พริก รากผักชี ทำให้เป็นอาหารที่บำรุงธาตุ บำรุงกระดูก เจริญอาหาร ขับลม ขับเหงื่อแก้จุกเสียด ช่วยลดความดันโลหิตสูง ทางด้านภูมิปัญญานั้น คือ เป็นการนำเอาเครื่องปรุงสมุนไพรหลากรสมารวมกับกะทิและเนื้อปลา กลายเป็นยาในรูปแบบของอาหารที่มีคุณค่าสูง และยังมีศิลปะในการนำใบตองมาห่อแทนการใช้ภาชนะ เพิ่มกลิ่นรส ร่วมกับใบยออ่อนที่ใช้รอง เป็นการผสมผสานการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติโดยแท้
แกงป่า
เป็นอาหารที่ให้พลังงานและไขมันต่ำ แต่ให้กากและใยอาหารสูงมาก ให้แร่ธาตุและวิตามินสูงเกือบทุกชนิด ช่วยปรับสมดุลร่างกาย ขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยลดความดันโลหิต ฆ่าพยาธิและเชื้อแบคทีเรีย แกงป่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในการจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อความอยู่รอด โดยการนำผักพื้นบ้านและสมุนไพรหลากหลายชนิดมาปรุงอย่างง่าย ๆ แต่ได้รสกลมกล่อม เป็นการปรุงยาให้อยู่ในรูปอาหารที่อร่อยมาก
จะเห็นได้ว่าอาหารไทยมีคุณลักษณะพิเศษ อย่างน้อยสามารถจำแนกตามการใช้ประโยชน์ หรือตามคุณค่าได้ถึง 3 ด้าน คือ ด้านคุณค่าทางอาหารและโภชนาการ ด้านคุณค่าทางยาและสมุนไพร และด้านคุณค่าทางภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรม ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารเลี้ยงประชากรโลกรายใหญ่ เป็นอันดับที่ 5 ของโลก รองจาก อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย และฝรั่งเศส อาหารไทยจึงควรมีบทบาทอย่างสูงในสังคมโลก ไม่เพียง แค่ขายอาหารในด้านคุณค่าทางโภชนาการ แต่ควรนำจุดเด่นคุณค่าอีก 2 ด้าน คือ ค้านคุณค่าทางยาและภูมิปัญญามาเป็นจุดขายเพื่อเพิ่มมูลค่าและความนิยมให้กับอาหารไทยมากขึ้น อันจะนำไปสู่ความสามารถในการแข่งขันบนเวทีการค้าโลกได้อย่างสง่างาม
ข้าวซ้อมมือและข้าวกล้อง
ข้าวซ้อมมือและข้าวกล้อง
ธัญพืชเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่งของคนทั่วโลก คนไทยและคนแถบเอเชียมีข้าวเป็นอาหารหลัก ธัญพืชเป็นแหล่งของสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต เมื่อรับประทานแล้วจะเผาผลาญให้พลังงาน แต่เนื่องจากเป็นอาหารหลักปริมาณการบริโภคจึงค่อนข้างมาก ทำให้เป็นแหล่งของสารอาหารโปรตีนจากพืชที่สำคัญอีกด้วย ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ และข้าวขัดสี
ข้าวทั้งหมดนี้ก็คือ ข้าวเจ้านั่นเอง แต่แตกต่างกันตรงวิธีการหรือกระบวนการกระเทาะเปลือกและสีข้าวก่อนนำมาใช้รับประทาน กล่าวคือ ข้าวกล้อง (Brown rice) เป็นข้าวที่ผ่านกรรมวิธีการสีข้าวในขั้นต้นเท่านั้นคือ ผ่านข้าวเปลือกเข้าไปในเครื่องสีข้าว เปลือกข้าวจะถูกกระเทาะ แตกออกและหลุดไป เมื่อแยกเปลือกข้าวออกจะได้ข้าวกล้องซึ่งมีเมล็ดข้าวยังสมบูรณ์ โดยมีจมูกข้าวและเยื้อหุ้มเมล็ดข้าวติดอยู่ ซึ่งทำให้ผิวของเมล็ดข้าวมีสีน้ำตาลอ่อน
ข้าวซ้อมมือ มีลักษณะและคุณค่าทางโภชนาการเช่นเดียวกับข้าวกล้อง บางคนเรียกว่า ข้าวกล้อง
ข้าวซ้อมมือ ต่างกับ ข้าวกล้อง ตรงวิธีการกระเทาะเปลือก ที่ทำโดยการตำข้าวเปลือกในครก ปัจจุบันมีทำกันน้อยลงมาก
ส่วนข้าวขัดสี เป็นข้าวเจ้าที่ผ่านกรรมวิธีการขัดสีหลายครั้ง จนเยื้อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไปหมดได้เป็นเมล็ดข้าวสีขาว ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือคาร์โบไฮเดรต ส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดข้าที่ขัดออกเรียกว่ารำ จมูกข้าวและรำเป็นส่วนประกอบของเมล็ดข้าวที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ในปริมาณที่สูงกว่าส่วนอื่น ๆ ของเมล็ดข้าว
ดังนั้นข้าวกล้องจึงมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวขัดสีจนขาว กล่าวคือ มีโปรตีน ไขมัน สูงกว่าเล็กน้อย ที่ต่างกันชัดเจน คือ ข้าวกล้องมีใยอาหารเหลืออยู่มากกว่าข้าวขัดสีถึง 3 เท่า รับประทานข้าวกล้องทุกวันร่วมกับผักและผลไม้สด จะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ข้าวกล้องมีแร่ธาตุ และวิตามิน สูงกว่าข้าวขัดสี โดยเฉพาะแร่ธาตุฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินบีหนึ่ง และไนอะซิน โดยมีมากกว่าข้าวขัดสีถึง 2-3 เท่า
รับประทานข้าวกล้องสุกได้รับสารอาหารเทียบกับความต้องการสารอาหารต่อวันอย่างไร รับประทานข้าวกล้องทั้ง 3 มื้อ มื้อละ 1 จาน (ประมาณ 3 ทัพพี หรือประมาณ 1 ถ้วยตวง) รวม 3 จาน จะได้รับพลังงานประมาณร้อยละ 40 ของพลังงานที่ควรได้รับใน 1 วัน ได้คาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 60 โปรตีนร้อยละ 30 วิตามินบี 1 ร้อยละ 45 และ และไนอะซินร้อยละ 60 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน นอกจากนี้ยังจะได้แร่ธาตุแมกนีเซียมและฟอสพอรัสสูงและได้ใยอาหารถึงร้อยละ 25 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน จึงควรมีการรณรงค์ให้มีการบริโภคข้าวกล้องทุกวัน
การหุงข้าวกล้อง โดยทั่วไปใช้ข้าวกล้อง 1 ส่วน ซาวข้าวเบา ๆ 1 ครั้ง รินน้ำทิ้ง แล้วเติมน้ำ 2 เท่า ของข้าวที่ตวงมา ถ้าชอบแฉะอาจใช้น้ำมากกว่านี้เล็กน้อย จะใช้วิธีหุงด้วยหม้อข้าวไฟฟ้าหรือหม้อนึ่งก็ได้ โดยวิธีนี้จะได้ข้าวกล้องที่นุ่มนวลรสชาติดีและยังรักษาคุณค่าทางโภชนราการไว้ได้มากที่สุดด้วย
ที่มา : horapa.com
ธัญพืชเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่งของคนทั่วโลก คนไทยและคนแถบเอเชียมีข้าวเป็นอาหารหลัก ธัญพืชเป็นแหล่งของสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต เมื่อรับประทานแล้วจะเผาผลาญให้พลังงาน แต่เนื่องจากเป็นอาหารหลักปริมาณการบริโภคจึงค่อนข้างมาก ทำให้เป็นแหล่งของสารอาหารโปรตีนจากพืชที่สำคัญอีกด้วย ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ และข้าวขัดสี
ข้าวทั้งหมดนี้ก็คือ ข้าวเจ้านั่นเอง แต่แตกต่างกันตรงวิธีการหรือกระบวนการกระเทาะเปลือกและสีข้าวก่อนนำมาใช้รับประทาน กล่าวคือ ข้าวกล้อง (Brown rice) เป็นข้าวที่ผ่านกรรมวิธีการสีข้าวในขั้นต้นเท่านั้นคือ ผ่านข้าวเปลือกเข้าไปในเครื่องสีข้าว เปลือกข้าวจะถูกกระเทาะ แตกออกและหลุดไป เมื่อแยกเปลือกข้าวออกจะได้ข้าวกล้องซึ่งมีเมล็ดข้าวยังสมบูรณ์ โดยมีจมูกข้าวและเยื้อหุ้มเมล็ดข้าวติดอยู่ ซึ่งทำให้ผิวของเมล็ดข้าวมีสีน้ำตาลอ่อน
ข้าวซ้อมมือ มีลักษณะและคุณค่าทางโภชนาการเช่นเดียวกับข้าวกล้อง บางคนเรียกว่า ข้าวกล้อง
ข้าวซ้อมมือ ต่างกับ ข้าวกล้อง ตรงวิธีการกระเทาะเปลือก ที่ทำโดยการตำข้าวเปลือกในครก ปัจจุบันมีทำกันน้อยลงมาก
ส่วนข้าวขัดสี เป็นข้าวเจ้าที่ผ่านกรรมวิธีการขัดสีหลายครั้ง จนเยื้อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไปหมดได้เป็นเมล็ดข้าวสีขาว ซึ่งมีส่วนประกอบหลักคือคาร์โบไฮเดรต ส่วนของเยื่อหุ้มเมล็ดข้าที่ขัดออกเรียกว่ารำ จมูกข้าวและรำเป็นส่วนประกอบของเมล็ดข้าวที่มีโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุ ในปริมาณที่สูงกว่าส่วนอื่น ๆ ของเมล็ดข้าว
ดังนั้นข้าวกล้องจึงมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวขัดสีจนขาว กล่าวคือ มีโปรตีน ไขมัน สูงกว่าเล็กน้อย ที่ต่างกันชัดเจน คือ ข้าวกล้องมีใยอาหารเหลืออยู่มากกว่าข้าวขัดสีถึง 3 เท่า รับประทานข้าวกล้องทุกวันร่วมกับผักและผลไม้สด จะช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ข้าวกล้องมีแร่ธาตุ และวิตามิน สูงกว่าข้าวขัดสี โดยเฉพาะแร่ธาตุฟอสฟอรัส แมกนีเซียม วิตามินบีหนึ่ง และไนอะซิน โดยมีมากกว่าข้าวขัดสีถึง 2-3 เท่า
รับประทานข้าวกล้องสุกได้รับสารอาหารเทียบกับความต้องการสารอาหารต่อวันอย่างไร รับประทานข้าวกล้องทั้ง 3 มื้อ มื้อละ 1 จาน (ประมาณ 3 ทัพพี หรือประมาณ 1 ถ้วยตวง) รวม 3 จาน จะได้รับพลังงานประมาณร้อยละ 40 ของพลังงานที่ควรได้รับใน 1 วัน ได้คาร์โบไฮเดรตประมาณร้อยละ 60 โปรตีนร้อยละ 30 วิตามินบี 1 ร้อยละ 45 และ และไนอะซินร้อยละ 60 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน นอกจากนี้ยังจะได้แร่ธาตุแมกนีเซียมและฟอสพอรัสสูงและได้ใยอาหารถึงร้อยละ 25 ของปริมาณที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน จึงควรมีการรณรงค์ให้มีการบริโภคข้าวกล้องทุกวัน
การหุงข้าวกล้อง โดยทั่วไปใช้ข้าวกล้อง 1 ส่วน ซาวข้าวเบา ๆ 1 ครั้ง รินน้ำทิ้ง แล้วเติมน้ำ 2 เท่า ของข้าวที่ตวงมา ถ้าชอบแฉะอาจใช้น้ำมากกว่านี้เล็กน้อย จะใช้วิธีหุงด้วยหม้อข้าวไฟฟ้าหรือหม้อนึ่งก็ได้ โดยวิธีนี้จะได้ข้าวกล้องที่นุ่มนวลรสชาติดีและยังรักษาคุณค่าทางโภชนราการไว้ได้มากที่สุดด้วย
ที่มา : horapa.com
2008-10-14
กระดูกหมูตุ๋นมะพร้าวอ่อน
กระดูกหมูตุ๋นมะพร้าวอ่อน
1.กระดูกหมูอ่อน 200 กรัม
2.มะพร้าวอ่อน(ปาดเอาฝาออก) 1 ลูก
3.น้ำซุป 2 ถ้วยตวง
4.เนื้อมะพร้าวขูด 1 ลูก
เ5.ห็ดหอมแช่น้ำให้นิ่ม 2 ดอก
6.แปะก๊วยต้มแล้ว 10 ลูก
7.แห้วปอกเปลือกผ่าครึ่ง 5 หัว
8.ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
9.ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
10.พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
1.กระดูกหมูอ่อน 200 กรัม
2.มะพร้าวอ่อน(ปาดเอาฝาออก) 1 ลูก
3.น้ำซุป 2 ถ้วยตวง
4.เนื้อมะพร้าวขูด 1 ลูก
เ5.ห็ดหอมแช่น้ำให้นิ่ม 2 ดอก
6.แปะก๊วยต้มแล้ว 10 ลูก
7.แห้วปอกเปลือกผ่าครึ่ง 5 หัว
8.ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
9.ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
10.พริกไทยป่น 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. กระดูกหมูอ่อนทอดพอเหลือง ตักใส่ลูกมะพร้าวอ่อน
2.ใส่น้ำซุป เนื้อมะพร้าวขูด เห็ดหอม แปะก๊วย แห้ว ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส พริกไทยป่น
3.ปิดฝาอย่างเดิม ห่อด้วยกระดาษฟอยล์ นำไปนึ่งในลังถึงประมาณ 1 ชั่วโมง แกะกระดาษฟอยล์ออก รับประทานทันที
ที่มา :thaifooddb.com
2008-10-13
กระเพาะหมูตุ๋นพริกไทย
กระเพาะหมูตุ๋นพริกไทย
ส่วนผสม
1.กระเพาะหมู 700 กรัม
2.พริกไทยเม็ด 50 กรัม
3.ซีอิ๊วขาว 4-5 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำซุป 2-3 ถ้วย
วิธีทำ
1. ล้างกระเพาะหมู กลับเอาด้านในออก ตั้งกระทะให้ร้อน เอากระเพาะหมูลงไปนาบให้ทั่ว ขูดผิวโดยรอบแล้วล้างน้ำให้สะอาด
2. ใส่พริกไทยในกระเพาะหมู ใช้เชือกหรือด้ายผูกไว้ ไม่ให้พริกไทยไหลออก
3. ใส่กระเพาะหมูในหม้อตุ๋น ใส่น้ำซุปให้ท่วม ใส่ซีอิ๊วขาวให้ออกรสเค็ม
4. นำไปตุ๋นประมาณ 1 ชั่วโมงหรือจนกระเพาะหมูเปื่อย หั่นเป็นชิ้นพอคำ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟ
ที่มา : thaifooddb.com
ส่วนผสม
1.กระเพาะหมู 700 กรัม
2.พริกไทยเม็ด 50 กรัม
3.ซีอิ๊วขาว 4-5 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำซุป 2-3 ถ้วย
วิธีทำ
1. ล้างกระเพาะหมู กลับเอาด้านในออก ตั้งกระทะให้ร้อน เอากระเพาะหมูลงไปนาบให้ทั่ว ขูดผิวโดยรอบแล้วล้างน้ำให้สะอาด
2. ใส่พริกไทยในกระเพาะหมู ใช้เชือกหรือด้ายผูกไว้ ไม่ให้พริกไทยไหลออก
3. ใส่กระเพาะหมูในหม้อตุ๋น ใส่น้ำซุปให้ท่วม ใส่ซีอิ๊วขาวให้ออกรสเค็ม
4. นำไปตุ๋นประมาณ 1 ชั่วโมงหรือจนกระเพาะหมูเปื่อย หั่นเป็นชิ้นพอคำ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟ
ที่มา : thaifooddb.com
ห่อหมกปลา
ห่อหมกปลา
ส่วนผสม
1.เนื้อปลา 400 กรัม
2.กะทิ 2 ถ้วย
3.แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนชา
4.ไข่ไก่ 1 ฟอง
5.น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
6.ใบโหระพา 2 ถ้วย
7.ผักชีเด็ดใบ 1/4 ถ้วย
8.ใบมะกรูดหั่นฝอย 3 ช้อนโต๊ะ
9.พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นฝอย 1 เม็ด
เครื่องแกง
1.พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำให้นุ่ม 5 เม็ด
2.กระเทียมไทย3 หัว
3.ข่าแก่หั่นละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
4.ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
5.ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
6.กระชายซอย 2 ช้อนชา
7.รากผักชีหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
8.พริกไทยเม็ด 5 เม็ด
9.เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
10.กะปิ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด แล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบาง แบ่งกะทิ 1/2 ถ้วยมาใส่แป้งข้าวเจ้า คนให้ละลาย ตั้งบนไฟอ่อน หมั่นคน พอแป้งสุกยกลง ไว้สำหรับยอดหน้าห่อหมก
2. คนกะทิ 1 ถ้วยกับน้ำพริกที่โขลกเข้าด้วยกัน ใส่เนื้อปลา คนพอทั่ว ต่อยไข่ใส่ ใส่น้ำปลา ค่อย ๆ เติมกะทิที่เหลือลงไปคนด้วยทีละน้อยจนกะทิหมด คนต่ออีก 20 นาที ใส่ใบโหระพา 1/2 ถ้วย ใบผักชี 2 ช้อนโต๊ะ และใบมะกรูด 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน
3. รองก้นกระทงหรือถ้วยด้วยใบโหระพาที่เหลือ ตักส่วนผสมห่อหมกที่ทำใส่ให้เต็ม จัดเรียงลงลังถึง นึ่งบนหม้อน้ำเดือดด้วยไฟแรงนานประมาณ 15 นาที ยกลงหยอดหน้าห่อหมกด้วยหัวกะทิที่ทำไว้ โรยหน้าด้วยใบผักชี ใบมะกรูดที่เหลือ และพริกชี้ฟ้าสีแดง นึ่งต่ออีก 1 นาที ยกลง
ที่มา : thaifooddb.com
ส่วนผสม
1.เนื้อปลา 400 กรัม
2.กะทิ 2 ถ้วย
3.แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนชา
4.ไข่ไก่ 1 ฟอง
5.น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
6.ใบโหระพา 2 ถ้วย
7.ผักชีเด็ดใบ 1/4 ถ้วย
8.ใบมะกรูดหั่นฝอย 3 ช้อนโต๊ะ
9.พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นฝอย 1 เม็ด
เครื่องแกง
1.พริกแห้งเม็ดใหญ่แกะเมล็ดออกแช่น้ำให้นุ่ม 5 เม็ด
2.กระเทียมไทย3 หัว
3.ข่าแก่หั่นละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
4.ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
5.ผิวมะกรูดหั่นละเอียด 1 ช้อนชา
6.กระชายซอย 2 ช้อนชา
7.รากผักชีหั่นละเอียด 2 ช้อนชา
8.พริกไทยเม็ด 5 เม็ด
9.เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
10.กะปิ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกเครื่องแกงทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด แล่เนื้อปลาเป็นชิ้นบาง แบ่งกะทิ 1/2 ถ้วยมาใส่แป้งข้าวเจ้า คนให้ละลาย ตั้งบนไฟอ่อน หมั่นคน พอแป้งสุกยกลง ไว้สำหรับยอดหน้าห่อหมก
2. คนกะทิ 1 ถ้วยกับน้ำพริกที่โขลกเข้าด้วยกัน ใส่เนื้อปลา คนพอทั่ว ต่อยไข่ใส่ ใส่น้ำปลา ค่อย ๆ เติมกะทิที่เหลือลงไปคนด้วยทีละน้อยจนกะทิหมด คนต่ออีก 20 นาที ใส่ใบโหระพา 1/2 ถ้วย ใบผักชี 2 ช้อนโต๊ะ และใบมะกรูด 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน
3. รองก้นกระทงหรือถ้วยด้วยใบโหระพาที่เหลือ ตักส่วนผสมห่อหมกที่ทำใส่ให้เต็ม จัดเรียงลงลังถึง นึ่งบนหม้อน้ำเดือดด้วยไฟแรงนานประมาณ 15 นาที ยกลงหยอดหน้าห่อหมกด้วยหัวกะทิที่ทำไว้ โรยหน้าด้วยใบผักชี ใบมะกรูดที่เหลือ และพริกชี้ฟ้าสีแดง นึ่งต่ออีก 1 นาที ยกลง
ที่มา : thaifooddb.com
ข้าวคลุกกะปิ
ข้าวคลุกกะปิอาหารจานเดียว อีกเมนูที่นำเอาเครื่องปรุงแบบไทย มาปรุงแต่งให้ทานได้อย่างอร่อย
ส่วนผสม
1.ข้าวสวย 10 ถ้วย
2.กุ้งแห้งโขลกละเอียด 1 ถ้วยตวง
3.น้ำมันพืช 1 ถ้วยตวง
4.กระเทียมทุบแล้วสับละเอียด 1/2 ถ้วยตวง
5.กะปิ 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่น้ำมันในกระทะตั้งไฟ ใส่กระเทียมเจียวพอเหลือง ตักขึ้นให้มีน้ำมันอยู่ในกระทะเล็กน้อย ใส่กะปิลงผัด เติมน้ำมันเล็กน้อย เพื่อให้กะปิละลายผัดพอแห้งใส่ข้าว และกุ้งแห้ง ผัดจนเข้ากันดีตักใส่จาน
2. รับประทานกับเครื่องประกอบ หมูหวาน ไข่ฝอย หอมซอย มะดันหรือมะม่วงดิบ กุ้งแห้งทอดกรอบ ต้นหอมผักชี แตงกวา พริกขี้หนูหั่น
ที่มา : thaifooddb.com
ส่วนผสม
1.ข้าวสวย 10 ถ้วย
2.กุ้งแห้งโขลกละเอียด 1 ถ้วยตวง
3.น้ำมันพืช 1 ถ้วยตวง
4.กระเทียมทุบแล้วสับละเอียด 1/2 ถ้วยตวง
5.กะปิ 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่น้ำมันในกระทะตั้งไฟ ใส่กระเทียมเจียวพอเหลือง ตักขึ้นให้มีน้ำมันอยู่ในกระทะเล็กน้อย ใส่กะปิลงผัด เติมน้ำมันเล็กน้อย เพื่อให้กะปิละลายผัดพอแห้งใส่ข้าว และกุ้งแห้ง ผัดจนเข้ากันดีตักใส่จาน
2. รับประทานกับเครื่องประกอบ หมูหวาน ไข่ฝอย หอมซอย มะดันหรือมะม่วงดิบ กุ้งแห้งทอดกรอบ ต้นหอมผักชี แตงกวา พริกขี้หนูหั่น
ที่มา : thaifooddb.com
ผัดผักกาดดอง (ผัดเกี้ยมฉ่าย)เจ
ผัดผักกาดดอง (ผัดเกี้ยมฉ่าย)เจอาหารเจที่เป็นที่นิยม เหมาะกันทานเป็นกับข้าวกับข้าวต้ม
ส่วนผสม
1.ผักกาดดอง 1 หัว
2.หมี่กึง 1/2 ถ้วย
3.น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
4.ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
5.น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
6.น้ำมันหอยเจ 1 ช้อนชา
7.น้ำเปล่าเล็กน้อย
วิธีทำ
1. ล้างผัดกาดดองให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
2. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมัน พอร้อนผัดหมี่กึงให้สุก
3. ใส่ผัดกาดดอง ผัดต่อจนนิ่ม ใส่เครื่องปรุง ปรุงรสตามชอบ ยกเสิร์ฟ
ที่มา: .thaifooddb.com
ส่วนผสม
1.ผักกาดดอง 1 หัว
2.หมี่กึง 1/2 ถ้วย
3.น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
4.ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
5.น้ำตาลปี๊บ 2 ช้อนชา
6.น้ำมันหอยเจ 1 ช้อนชา
7.น้ำเปล่าเล็กน้อย
วิธีทำ
1. ล้างผัดกาดดองให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ
2. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมัน พอร้อนผัดหมี่กึงให้สุก
3. ใส่ผัดกาดดอง ผัดต่อจนนิ่ม ใส่เครื่องปรุง ปรุงรสตามชอบ ยกเสิร์ฟ
ที่มา: .thaifooddb.com
2008-10-12
เทศกาลกินเจ ตอนที่ 2
เทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความรัก
ตอนที่ 2 การกินเจที่แท้จริงนั้น ไม่เพียงแต่การเว้นบริโภคเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ยังต้องสวดมนต์ รักษาศีลไปพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่ากินเจค่ะ แต่ว่าพอสามีกลับบ้านดึกก็ปาไม้ตีพริกเสียสามีหัวร้างข้างแตกขึ้นมาก็ถือว่าเป็นการกินเจที่ไม่สมบูรณ์ค่ะ นอกจากนี้ยังต้องชำระร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ นุ่งขาว ห่มขาวให้สุภาพเรียบร้อย สำรวมกิริยา วาจา ไม่กล่าวถ้อยอันจะก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจแก่ผู้ใด ไม่พูดจาส่อเสียดหรือหยาบโลน และต้องทำจิตใจให้ปราศจากอาการอิจฉาริษยาใด ๆด้วยนะคะ ดูไปก็คล้ายว่าจะยากค่ะ แต่หากลองทำดูจริงๆ แล้วอาจจะค้นพบว่าช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด ก็คือช่วงเวลาที่เรามีจิตใจสงบสุขนี่แหละค่ะ ถึงได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ว่าคนที่รักษาศีลกินเจนั้นมีผิวพรรณที่ผุดผ่อง สาเหตุไม่ได้มาจากสารอาหารประเภทวิตามินจากพืชผักเท่านั้น แต่มาจากสภาพภายในจิตใจที่สงบงามนั่นด้วยค่ะ ถึงได้มีแนวความคิดที่ว่า Beauty builds in อย่างไรละคะหลายคนอาจจะยังสับสนอยู่ว่ากินเจกับกินมังสวิรัตินี้มีความเหมือนหรือความต่างกันอย่างไรหรือ ความจริงก็คือว่า การกินมังสวิรัติมีข้อจำกัดน้อยกว่าการกินเจค่ะ เพราะว่ามังสวิรัติสามารถบริโภคนมได้ แถมบางคนยังบอกอีกว่าหากไข่ไก่ที่ยังไม่ได้ถูกผสมเชื้อตัวผู้เข้าไป ยังสามารถบริโภคได้ด้วย แต่อาจจะลำบากอยู่สักหน่อยที่จะนำไข่ไก่ไปพิสูจน์ก่อนว่าปราศจากมลทินของไก่เพศผู้หรือไม่จึงค่อยนำไปประกอบอาหารนะคะ ส่วนอาหารเจนั้น นอกจากห้ามบริโภคเนื้อสัตว์แล้วนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ก็ห้ามด้วยเช่นกัน และที่สำคัญผัก 5 ชนิดที่มีกลิ่นฉุนและรสชาติที่เผ็ดร้อน ได้แก่ หอม กระเทียม กุ๋ยช่าย ใบยาสูบและลักเกียวซึ่งเป็นเครื่องเทศจีนชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายขิงค่ะ กลิ่นจะฉุนมาก บางแห่งห้ามแม้กระทั่งผักชี เพราะผักพวกนี้มีสรรพคุณไปกระตุ้นอารมณ์เซ็กส์ได้ค่ะ หากอยู่นอกช่วงเวลาของการกินเจก็อาจจะดีทีเดียวนะคะ เพราะว่าผักพวกนี้ ถูกสตางค์กว่าไวอากร้าเยอะเลยค่ะ แต่หากบริโภคกันเข้าไปทั้ง 5 ชนิดพร้อมกัน แม่อบเชยว่ากลิ่นอันรุนแรงของมันอาจจะทำให้อีกฝ่ายตายได้ก่อนที่จะมันจะออกฤทธิ์อย่างอื่นก็ได้นะคะรับประทานอาหารเจแล้วจะเกิดภาวะขาดสารอาหารหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรากินแบบเคร่งครัดเกินไปหรือไม่นะคะ และที่สำคัญ แม้จะกินอย่างเคร่งครัดแต่ว่ากินเพียง 9-10 ในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้นก็ยิ่งไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเลยค่ะ แต่หากกินเจไปตลอดชีวิตสิคะ ควรแก่การมาทบทวนกันดูอีกสักหน่อย เพราะแม้ว่าถั่วเหลืองนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการแทนอาหารเนื้อสัตว์ได้นั้นก็ใช่ว่าสามารถแทนได้ทั้งหมด โปรตีนบางชนิดที่ถั่วเหลืองไม่สามารถให้กับร่างกายมนุษย์ได้ก็มีเหมือนกันค่ะลองมาดูสรรพประโยชน์ของอาหารเจกันดูนะคะ อาหารเจเป็นอาหารที่ย่อย ง่ายค่ะ เพราะส่วนประกอบเกือบทั้งหมด ประกอบด้วยไขมันอิ่มตัวในปริมาณต่ำ เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ความดันโลหิตสูงนะคะ รวมทั้งคนที่เป็นเก๊าท์ด้วยค่ะ อาหารเจประกอบไปด้วย เส้นใยไฟเบอร์เยอะแยะไปหมดค่ะ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาตกค้าง เป็นของเสียในร่างกายเราได้นานนัก เพราะมันจะถูกขับออกมาในระยะเวลาที่ เหมาะสมกับ ระบบย่อยอาหารของเรามากที่สุด ดังนั้นผู้ที่รับประทานอาหารเจ จึงไม่เคยประสบปัญหาเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยวหรือว่าท้องผูกเลยค่ะ และที่สำคัญช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีด้วยนะคะอาหารประเภทที่ตรงข้ามกับเจนั้นเรียกกันว่า "อาหารชอ" นะคะจะมีอาหารเจหลายอย่างมากค่ะที่พยายามทำหน้าตาให้คล้ายอาหารชอมากที่สุดก็ดีนะคะ ในแง่ที่ว่าช่วยให้ผู้บริโภคเจนั้นสามารถเอร็ดอร่อยกับอาหารได้มากขึ้นเพราะคนเรานั้น อย่างไรเสียก็ยังยึดมั่นกันอยู่กับรูปร่างภายนอก กระทั่งของที่จะกินเข้าไปเพื่อให้ตัวเองรู้จักการลดละเลิก ก็ยังไปผูกพันอยู่กับกิเลสภายนอกจนได้เรื่องอย่างนี้ก็พูดยากเพราะว่า เรื่องของใจอะไรก็แทนไม่ได้….นั่นเองค่ะ…สำหรับการประกอบอาหารเจนั้น อาจจะมีหลักการยุ่งยากไปอยู่สักหน่อยสำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลา แต่ปัญหาดังกล่าวนี้ก็จะหมดไปทันทีค่ะ เพราะว่าอีกไม่กี่วันเราก็คงเห็นธงสีเหลืองปลิวไสวไปทั่วตลาดร้านรวงต่างๆ แล้ว สัญลักษณ์ของอาหารเจ อาหารบริสุทธ์จะปักธงสามเหลี่ยมสีเหลืองให้สังเกตได้อย่างง่ายดายเทศกาลกินเจปีนี้ ลองตรึกตรองถึงความหมายที่แท้จริงกันอีกสักทีนะคะ อย่าเป็นแต่เพียงว่าตามกระแสนิยมหรือรอคอยดูม้าทรงในเทศกาลที่น่าหวาดเสียวนั่นเลยนะคะ แล้วจะซาบซึ้งถึงคุณค่าของการกินเจอย่างแท้จริงค่ะเรื่องหนึ่งที่เคยเป็น Hot Issue ประจำเทศกาลกินเจในประเทศไทย ไม่มีอะไรเกินหน้าเกินตา เรื่องซอสถั่วเหลืองที่มีสารปนเปื้อนค่ะ กระแสแรงมากจนเคยเกือบถูกต่างชาติ สั่งห้ามนำเข้าซอสถั่วเหลืองจากประเทศไทย ในช่วงเทศกาลกินเจกันเลยทีเดียวนะคะ เพราะมีข่าวว่ามีการใช้สารตั้งต้นในกระบวนการผลิตที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็ง ได้นั่นเองค่ะ จากคำชี้แจงของผู้เชียวชาญด้านโภชนอนามัยได้อธิบายไว้ว่า สาร 3MCPD ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งอย่างที่เข้าใจนั้น ไม่ว่าจะผลิตซอสในประเทศไทย ประเทศจีนหรือว่าสหรัฐฯ ก็ตาม ก็ย่อมมีสาร 3MPCD ทั้งนั้น เพราะว่าสารดังกล่าว จะเกิดขึ้นจากการหมักในกระบวนการผลิตค่ะ หากจะหลีกเลี่ยง กระบวนการนี้ก็คงไม่ได้ เพราะการทำซอสจากถั่วเหลืองจะต้องมีการหมักถั่วเหลือง นาน 4-6 เดือนเชียวค่ะจึงจะได้ที่ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงให้ชัดเจนแล้วว่า ซอสถั่วเหลืองที่เป็นซีอิ๊วนั้น ไม่ได้มีสารปนเปื้อนที่น่ากลัวอย่างที่เข้าใจ แต่สิ่ง ที่น่าเป็นห่วงจริงๆ กลับคือซอสปรุงรส ที่ผลิตจากการผสมถั่วเหลือง กับกรดเกลือและใช้เวลาเพียง 3-4 วันเท่านั้นในกระบวนการผลิต ดังนั้นสารที่อาจจะตกค้างและ ไม่ปลอดภัยนักก็น่าจะเป็นกรดเกลือนั่นมากกว่าค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม(อีกที)นะคะจากมาตรฐานการยอมให้มีสารตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ไม่เกิน 18 mg. นั้นผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมการผลิตของบ้านเราจึงปลอดภัยแน่นอน เพราะเรามีปริมาณตกค้างอยู่ต่ำกว่านั้นถึง 18 เท่าเชียวค่ะ แม่อบเชยหวังว่าคุณผู้อ่านจะสบายใจในการบริโภคซอสและซีอิ๊วในเทศกาลกินเจปีนี้ได้แล้วนะคะเรื่องของการกินเจนี้ บางคนก็เคร่งครัดกับการเลือกสรรอาหารจนกลายเป็นคนจุกจิกเรื่องมาก จนคนเคียงข้างปั่นป่วนไปหมด แต่แม่อบเชยก็ไม่กล้าฟันธงลงไปหรอกนะคะ ไม่เหมาะไม่ควร เพราะว่าเรื่องของศรัทธานั้น เป็นเรื่องที่ปัจเจกเหลือเกิน แต่อยากให้นึกถึง มัชฌิมปฏิปทา หรือทางสายกลางไว้สักหน่อยนะคะเพราะว่า อะไรที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมไม่พอดี หรอกค่ะ หวังว่าเทศกาลเจปีนี้จะอิ่มบุญกันถ้วนหน้าสุขภาพดีกันทุกคนนะคะ
ที่มา : thaifooddb.com
ตอนที่ 2 การกินเจที่แท้จริงนั้น ไม่เพียงแต่การเว้นบริโภคเนื้อสัตว์เท่านั้น แต่ยังต้องสวดมนต์ รักษาศีลไปพร้อมกันด้วย ไม่ใช่ว่ากินเจค่ะ แต่ว่าพอสามีกลับบ้านดึกก็ปาไม้ตีพริกเสียสามีหัวร้างข้างแตกขึ้นมาก็ถือว่าเป็นการกินเจที่ไม่สมบูรณ์ค่ะ นอกจากนี้ยังต้องชำระร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ นุ่งขาว ห่มขาวให้สุภาพเรียบร้อย สำรวมกิริยา วาจา ไม่กล่าวถ้อยอันจะก่อให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจแก่ผู้ใด ไม่พูดจาส่อเสียดหรือหยาบโลน และต้องทำจิตใจให้ปราศจากอาการอิจฉาริษยาใด ๆด้วยนะคะ ดูไปก็คล้ายว่าจะยากค่ะ แต่หากลองทำดูจริงๆ แล้วอาจจะค้นพบว่าช่วงเวลาที่เรามีความสุขที่สุด ก็คือช่วงเวลาที่เรามีจิตใจสงบสุขนี่แหละค่ะ ถึงได้เห็นกันอยู่บ่อยๆ ว่าคนที่รักษาศีลกินเจนั้นมีผิวพรรณที่ผุดผ่อง สาเหตุไม่ได้มาจากสารอาหารประเภทวิตามินจากพืชผักเท่านั้น แต่มาจากสภาพภายในจิตใจที่สงบงามนั่นด้วยค่ะ ถึงได้มีแนวความคิดที่ว่า Beauty builds in อย่างไรละคะหลายคนอาจจะยังสับสนอยู่ว่ากินเจกับกินมังสวิรัตินี้มีความเหมือนหรือความต่างกันอย่างไรหรือ ความจริงก็คือว่า การกินมังสวิรัติมีข้อจำกัดน้อยกว่าการกินเจค่ะ เพราะว่ามังสวิรัติสามารถบริโภคนมได้ แถมบางคนยังบอกอีกว่าหากไข่ไก่ที่ยังไม่ได้ถูกผสมเชื้อตัวผู้เข้าไป ยังสามารถบริโภคได้ด้วย แต่อาจจะลำบากอยู่สักหน่อยที่จะนำไข่ไก่ไปพิสูจน์ก่อนว่าปราศจากมลทินของไก่เพศผู้หรือไม่จึงค่อยนำไปประกอบอาหารนะคะ ส่วนอาหารเจนั้น นอกจากห้ามบริโภคเนื้อสัตว์แล้วนมและผลิตภัณฑ์นมอื่นๆ ก็ห้ามด้วยเช่นกัน และที่สำคัญผัก 5 ชนิดที่มีกลิ่นฉุนและรสชาติที่เผ็ดร้อน ได้แก่ หอม กระเทียม กุ๋ยช่าย ใบยาสูบและลักเกียวซึ่งเป็นเครื่องเทศจีนชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายขิงค่ะ กลิ่นจะฉุนมาก บางแห่งห้ามแม้กระทั่งผักชี เพราะผักพวกนี้มีสรรพคุณไปกระตุ้นอารมณ์เซ็กส์ได้ค่ะ หากอยู่นอกช่วงเวลาของการกินเจก็อาจจะดีทีเดียวนะคะ เพราะว่าผักพวกนี้ ถูกสตางค์กว่าไวอากร้าเยอะเลยค่ะ แต่หากบริโภคกันเข้าไปทั้ง 5 ชนิดพร้อมกัน แม่อบเชยว่ากลิ่นอันรุนแรงของมันอาจจะทำให้อีกฝ่ายตายได้ก่อนที่จะมันจะออกฤทธิ์อย่างอื่นก็ได้นะคะรับประทานอาหารเจแล้วจะเกิดภาวะขาดสารอาหารหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรากินแบบเคร่งครัดเกินไปหรือไม่นะคะ และที่สำคัญ แม้จะกินอย่างเคร่งครัดแต่ว่ากินเพียง 9-10 ในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้นก็ยิ่งไม่ต้องวิตกกังวลอะไรเลยค่ะ แต่หากกินเจไปตลอดชีวิตสิคะ ควรแก่การมาทบทวนกันดูอีกสักหน่อย เพราะแม้ว่าถั่วเหลืองนั้นจะมีคุณค่าทางโภชนาการแทนอาหารเนื้อสัตว์ได้นั้นก็ใช่ว่าสามารถแทนได้ทั้งหมด โปรตีนบางชนิดที่ถั่วเหลืองไม่สามารถให้กับร่างกายมนุษย์ได้ก็มีเหมือนกันค่ะลองมาดูสรรพประโยชน์ของอาหารเจกันดูนะคะ อาหารเจเป็นอาหารที่ย่อย ง่ายค่ะ เพราะส่วนประกอบเกือบทั้งหมด ประกอบด้วยไขมันอิ่มตัวในปริมาณต่ำ เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ความดันโลหิตสูงนะคะ รวมทั้งคนที่เป็นเก๊าท์ด้วยค่ะ อาหารเจประกอบไปด้วย เส้นใยไฟเบอร์เยอะแยะไปหมดค่ะ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาตกค้าง เป็นของเสียในร่างกายเราได้นานนัก เพราะมันจะถูกขับออกมาในระยะเวลาที่ เหมาะสมกับ ระบบย่อยอาหารของเรามากที่สุด ดังนั้นผู้ที่รับประทานอาหารเจ จึงไม่เคยประสบปัญหาเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยวหรือว่าท้องผูกเลยค่ะ และที่สำคัญช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้เป็นอย่างดีด้วยนะคะอาหารประเภทที่ตรงข้ามกับเจนั้นเรียกกันว่า "อาหารชอ" นะคะจะมีอาหารเจหลายอย่างมากค่ะที่พยายามทำหน้าตาให้คล้ายอาหารชอมากที่สุดก็ดีนะคะ ในแง่ที่ว่าช่วยให้ผู้บริโภคเจนั้นสามารถเอร็ดอร่อยกับอาหารได้มากขึ้นเพราะคนเรานั้น อย่างไรเสียก็ยังยึดมั่นกันอยู่กับรูปร่างภายนอก กระทั่งของที่จะกินเข้าไปเพื่อให้ตัวเองรู้จักการลดละเลิก ก็ยังไปผูกพันอยู่กับกิเลสภายนอกจนได้เรื่องอย่างนี้ก็พูดยากเพราะว่า เรื่องของใจอะไรก็แทนไม่ได้….นั่นเองค่ะ…สำหรับการประกอบอาหารเจนั้น อาจจะมีหลักการยุ่งยากไปอยู่สักหน่อยสำหรับหลายคนที่ไม่มีเวลา แต่ปัญหาดังกล่าวนี้ก็จะหมดไปทันทีค่ะ เพราะว่าอีกไม่กี่วันเราก็คงเห็นธงสีเหลืองปลิวไสวไปทั่วตลาดร้านรวงต่างๆ แล้ว สัญลักษณ์ของอาหารเจ อาหารบริสุทธ์จะปักธงสามเหลี่ยมสีเหลืองให้สังเกตได้อย่างง่ายดายเทศกาลกินเจปีนี้ ลองตรึกตรองถึงความหมายที่แท้จริงกันอีกสักทีนะคะ อย่าเป็นแต่เพียงว่าตามกระแสนิยมหรือรอคอยดูม้าทรงในเทศกาลที่น่าหวาดเสียวนั่นเลยนะคะ แล้วจะซาบซึ้งถึงคุณค่าของการกินเจอย่างแท้จริงค่ะเรื่องหนึ่งที่เคยเป็น Hot Issue ประจำเทศกาลกินเจในประเทศไทย ไม่มีอะไรเกินหน้าเกินตา เรื่องซอสถั่วเหลืองที่มีสารปนเปื้อนค่ะ กระแสแรงมากจนเคยเกือบถูกต่างชาติ สั่งห้ามนำเข้าซอสถั่วเหลืองจากประเทศไทย ในช่วงเทศกาลกินเจกันเลยทีเดียวนะคะ เพราะมีข่าวว่ามีการใช้สารตั้งต้นในกระบวนการผลิตที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็ง ได้นั่นเองค่ะ จากคำชี้แจงของผู้เชียวชาญด้านโภชนอนามัยได้อธิบายไว้ว่า สาร 3MCPD ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดมะเร็งอย่างที่เข้าใจนั้น ไม่ว่าจะผลิตซอสในประเทศไทย ประเทศจีนหรือว่าสหรัฐฯ ก็ตาม ก็ย่อมมีสาร 3MPCD ทั้งนั้น เพราะว่าสารดังกล่าว จะเกิดขึ้นจากการหมักในกระบวนการผลิตค่ะ หากจะหลีกเลี่ยง กระบวนการนี้ก็คงไม่ได้ เพราะการทำซอสจากถั่วเหลืองจะต้องมีการหมักถั่วเหลือง นาน 4-6 เดือนเชียวค่ะจึงจะได้ที่ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้แจงให้ชัดเจนแล้วว่า ซอสถั่วเหลืองที่เป็นซีอิ๊วนั้น ไม่ได้มีสารปนเปื้อนที่น่ากลัวอย่างที่เข้าใจ แต่สิ่ง ที่น่าเป็นห่วงจริงๆ กลับคือซอสปรุงรส ที่ผลิตจากการผสมถั่วเหลือง กับกรดเกลือและใช้เวลาเพียง 3-4 วันเท่านั้นในกระบวนการผลิต ดังนั้นสารที่อาจจะตกค้างและ ไม่ปลอดภัยนักก็น่าจะเป็นกรดเกลือนั่นมากกว่าค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม(อีกที)นะคะจากมาตรฐานการยอมให้มีสารตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์ได้ไม่เกิน 18 mg. นั้นผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมการผลิตของบ้านเราจึงปลอดภัยแน่นอน เพราะเรามีปริมาณตกค้างอยู่ต่ำกว่านั้นถึง 18 เท่าเชียวค่ะ แม่อบเชยหวังว่าคุณผู้อ่านจะสบายใจในการบริโภคซอสและซีอิ๊วในเทศกาลกินเจปีนี้ได้แล้วนะคะเรื่องของการกินเจนี้ บางคนก็เคร่งครัดกับการเลือกสรรอาหารจนกลายเป็นคนจุกจิกเรื่องมาก จนคนเคียงข้างปั่นป่วนไปหมด แต่แม่อบเชยก็ไม่กล้าฟันธงลงไปหรอกนะคะ ไม่เหมาะไม่ควร เพราะว่าเรื่องของศรัทธานั้น เป็นเรื่องที่ปัจเจกเหลือเกิน แต่อยากให้นึกถึง มัชฌิมปฏิปทา หรือทางสายกลางไว้สักหน่อยนะคะเพราะว่า อะไรที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไป ย่อมไม่พอดี หรอกค่ะ หวังว่าเทศกาลเจปีนี้จะอิ่มบุญกันถ้วนหน้าสุขภาพดีกันทุกคนนะคะ
ที่มา : thaifooddb.com
เทศกาลกินเจ ตอนที่1
เทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความรัก
ตอนที่ 1 คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งแปลกใจนะคะ ว่ายังอีกตั้งนานกว่าจะถึงวาเลนไทน์ แล้วไฉนแม่อบเชยจึงได้มาพูดถึงเทศกาลแห่งความรัก ก็ช่วงนี้เป็นเรื่องของเทศกาลแห่งความรักจริงๆ นี่คะ จะให้แม่อบเชยละเว้นที่จะกล่าวถึงไปได้อย่างไรกัน รักอันใดที่ไหนเล่าจะยิ่งใหญ่เท่ารักเพื่อนร่วมโลกอย่างเสมอภาคกัน โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น แม้กระทั่ง ไฟลัมและสปีชีส์ ว่านี่คือคนหรือนั่นคือสัตว์ เทศกาลกินเจเทศกาลที่จะช่วยให้เราละเว้นชีวิตสัตว์ที่อุทิศตนเป็นอาหารเรามาแล้วตลอดทั้งปี แม้เพียงช่วงหนึ่งก็ยังดีที่จะได้ละเว้นไปเสียบ้าง นี่แหละค่ะ…ที่ให้แม่อบเชยเรียกว่าเทศกาลแห่งความรัก รักชีวิตผู้อื่นมากกว่ารักความอร่อยลิ้นของตนเองค่ะเทศกาลกินเจ มีมาตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานยืนยันค่ะ แต่เท่าที่รู้กันทั่วไปคือเป็นเทศกาลของชาวจีนที่มีนานเต็มทีแล้ว ชื่อเรียกเต็มก็คือ เทศกาล "เกาอ่วงเจ" ค่ะ ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดการกินเจก็มีหลายตำนานตามแต่ว่าจะฟังมาจากจีนถิ่นไหนเท่าที่แม่อบเชยไปสืบค้นมานะคะ ประวัติประเพณีกินเจ ตำนานแรกนั้น มันเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ ผักเอ๋ย…ผักชีโรยหน้า…" ที่มนุษย์บนดินสร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจเทพเจ้า 9 องค์ ที่สิงสถิตอยู่ ณ ดาวจระเข้ค่ะ เพราะว่าพอถึงเวลานี้ เทพเจ้าท่านก็จะเสด็จลงมาพักร้อน เอ๊ย!ตรวจความประพฤติของมนุษย์บนโลกนี้ หลายต่อหลายคนก็เลยเกิด ไอเดียโรยผักชีให้ท่านเห็นว่า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างยิ่งในการอยู่อาศัยในโลกใบนี้ อยู่อย่างขาวสะอาด เพราะแต่งกายด้วยชุดสีขาวซึ่งก็ไม่ได้ระบุว่าสะอาดหรือไม่อย่างไรนะคะ รวมทั้งกินอยู่หลับนอนแบบไม่เบียดเบียนใครให้ระคายต่อเบื้องยุคลบาทของเทพไท้ทั้ง 9 องค์นั่นเองค่ะ หากตำนานนี้เป็นจริงแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสมัยนี้จะยังใช้ได้อยู่ไหม เพราะเทพไททั้งเก้าท่านอาจจะอาศัยระบบตรวจสอบพฤติกรรมออนไลน์ได้เสมอ จะโรยผักชีอย่างไร ข้อเท็จจริงก็ต้องเผยไปวันยังค่ำแหล่ะค่ะสำหรับตำนานประเพณีกินเจต่อมา บอกเอาไว้ว่า เริ่มมีการถือศีลกินเจในสมัยราชวงศ์เช็ง แห่งพระนางซูสีไทเฮาค่ะ เพราะว่าในช่วงที่เกิดกบฏไต้เผ็งหรือที่รู้จักกันในนาม กบฏนักมวยนั้นมีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากค่ะ ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์ร้ายแรงนั้นแล้ว ประชาชนก็จึงพร้อมใจกันรักษาศีลและละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เหล่านั้นค่ะ สำหรับประวัติการกินเจ ตำนานสุดท้ายเท่าที่สามารถสืบค้นมาได้นะคะ ก็มีหลักฐานอ้างอิงเอาไว้ว่า เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในยุคต้นราชวงศ์หมิงค่ะ เพราะว่าก่อนหน้าที่ราชวงศ์หมิงจะได้ขึ้นครองจีนนั้น ประชาชนชาวจีนทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การปกครองของ ราชวงศ์หยวนซึ่งเป็นชาวมองโกลเกือบร้อยปี ซึ่งนับเป็นห้วงเวลาแห่งความทุกข์ ทรมาน มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อชาวจีนสามารถโค่นล้มราชวงศ์มองโกล ลงได้และราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวจีนโดยแท้ได้ขึ้นปกครองจีน ชาวจีนทั้งแผ่นดินจึงพร้อมใจงดบริโภคเนื้อสัตว์และถือศีลเป็นเวลา 9 วันเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่เสียชีวิต จากความทุกข์ยากในห้วงเวลาที่ผ่านมา จากนั้นมาทุกปี ในห้วงเวลาเดียวกัน ก็จะมีการงดบริโภคเนื้อสัตว์และรักษาศีลเช่นนี้สืบต่อกันมาจน เป็นประเพณีอย่างที่เราเห็นๆ กันนี่แหละค่ะแม้ว่าในตำนานเทศกาลกินเจทั้ง 3 ตำนานที่กล่าวมานั้นจะไม่มีอะไรที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่า แท้จริงแล้วที่มาที่ไปของเทศกาลกินเจนี้ เป็นอย่างไรกันแน่ก็ตามนะคะ แต่แม่อบเชย เห็นว่า หากประเพณีใดที่มีคุณค่า มีความดีความงามผสมผสานอยู่แล้วละก็ อย่าพักไปสงสัยกับที่ไปที่มานักเลยค่ะ สานต่อกันไว้ดีกว่าค่ะ โดยเฉพาะเทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความรักผู้อื่นและรักตนเองเช่นนี้ ปฏิบัติตามย่อมมีแต่ได้กับได้ทั้งนั้น เลยค่ะเทศกาลกินเจปี 2551 นี้จะเริ่มขึ้นในวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ค่ะ หากแม่อบเชยบอก เช่นนี้คงมีคุณผู้อ่านโยนค้อนเข้ามาให้สักวงสองวงเป็นแน่แท้ เพราะปัจจุบันสมัยเรา ไม่ค่อยได้รู้จักข้างขึ้นข้างแรมกันนัก เอาใหม่ค่ะ เริ่มกันในช่วงวันที่ 29 กันยายน - 7 ตุลาคม ค่ะ ซึ่งบางคนก็จะเริ่มกินล่วงหน้าประมาณวันหรือสองวันเพื่อล้างท้องไส้ให้สะอาด ปราศจากการตกค้างของเนื้อสัตว์ใดๆ พร้อมที่จะรักษาศีลกินเจให้บริสุทธิ์ อย่างแท้จริงค่ะ และเมื่อถึงวันเริ่มกินเจจริงๆ นั้น ผู้ที่ร่วมเทศกาลก็จะแต่งกายด้วย ชุดสีขาวล้วน ดูสะอาดตาเต็มไปหมดในย่านที่การกินเจเป็นที่นิยม โดยเฉพาะแถวเยาวราชค่ะ สำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่มีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่นั้นก็มีการเฉลิมฉลอง เทศกาลประกอบไปด้วยอย่างใหญ่โตมโหฬาร เช่น ในจังหวัดภูเก็ตนั้น การฉลองเทศกาลกินเจยิ่งใหญ่ และพิสดารจนกลายเป็นจุดขายทางการทอ่งเที่ยวไปแล้วค่ะ เพราะว่าจวนจะถึงช่วงเทศกาลกินเจนั้น ปรกติโรงแรมแถวภูเก็ตจะถูกจองเต็มไปหมด (แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรค่ะ) เพราะว่าผู้คนจากทั่วสารทิศล้วนหลั่งไหลไปรวมกันอยู่ที่นั่น เพราะอยากไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า "ม้าทรง"ที่เทพเจ้าลงมาประทับนั้น สามารถที่จะเดินในกองไฟ ได้โดยไม่เจ็บปวด สามารถใช้ปีนบันไดที่ขั้นบันไดทำด้วยใบมีดโกนได้โดยบาดเจ็บ เพียงเล็กน้อยจริงหรือ รวมทั้งการนำดาบ หรือเหล็กแหลมมาเสียบตามลิ้น ตามตัว หรือกระทั่งแทงให้ทะลุกระพุ้งแก้ม เป็นที่น่าหวาดเสียวว่าจะมีเนื้อหลุดออกมา เป็นชิ้นๆ นั้น เมื่อเทพเจ้าออกไปจากสื่อหรือม้าทรงแล้ว พวกเขาสามารถกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้จริงหรือ นั่นเองค่ะ
ที่มา:thaifooddb.com
ตอนที่ 1 คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งแปลกใจนะคะ ว่ายังอีกตั้งนานกว่าจะถึงวาเลนไทน์ แล้วไฉนแม่อบเชยจึงได้มาพูดถึงเทศกาลแห่งความรัก ก็ช่วงนี้เป็นเรื่องของเทศกาลแห่งความรักจริงๆ นี่คะ จะให้แม่อบเชยละเว้นที่จะกล่าวถึงไปได้อย่างไรกัน รักอันใดที่ไหนเล่าจะยิ่งใหญ่เท่ารักเพื่อนร่วมโลกอย่างเสมอภาคกัน โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น แม้กระทั่ง ไฟลัมและสปีชีส์ ว่านี่คือคนหรือนั่นคือสัตว์ เทศกาลกินเจเทศกาลที่จะช่วยให้เราละเว้นชีวิตสัตว์ที่อุทิศตนเป็นอาหารเรามาแล้วตลอดทั้งปี แม้เพียงช่วงหนึ่งก็ยังดีที่จะได้ละเว้นไปเสียบ้าง นี่แหละค่ะ…ที่ให้แม่อบเชยเรียกว่าเทศกาลแห่งความรัก รักชีวิตผู้อื่นมากกว่ารักความอร่อยลิ้นของตนเองค่ะเทศกาลกินเจ มีมาตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานยืนยันค่ะ แต่เท่าที่รู้กันทั่วไปคือเป็นเทศกาลของชาวจีนที่มีนานเต็มทีแล้ว ชื่อเรียกเต็มก็คือ เทศกาล "เกาอ่วงเจ" ค่ะ ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดการกินเจก็มีหลายตำนานตามแต่ว่าจะฟังมาจากจีนถิ่นไหนเท่าที่แม่อบเชยไปสืบค้นมานะคะ ประวัติประเพณีกินเจ ตำนานแรกนั้น มันเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ ผักเอ๋ย…ผักชีโรยหน้า…" ที่มนุษย์บนดินสร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจเทพเจ้า 9 องค์ ที่สิงสถิตอยู่ ณ ดาวจระเข้ค่ะ เพราะว่าพอถึงเวลานี้ เทพเจ้าท่านก็จะเสด็จลงมาพักร้อน เอ๊ย!ตรวจความประพฤติของมนุษย์บนโลกนี้ หลายต่อหลายคนก็เลยเกิด ไอเดียโรยผักชีให้ท่านเห็นว่า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างยิ่งในการอยู่อาศัยในโลกใบนี้ อยู่อย่างขาวสะอาด เพราะแต่งกายด้วยชุดสีขาวซึ่งก็ไม่ได้ระบุว่าสะอาดหรือไม่อย่างไรนะคะ รวมทั้งกินอยู่หลับนอนแบบไม่เบียดเบียนใครให้ระคายต่อเบื้องยุคลบาทของเทพไท้ทั้ง 9 องค์นั่นเองค่ะ หากตำนานนี้เป็นจริงแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสมัยนี้จะยังใช้ได้อยู่ไหม เพราะเทพไททั้งเก้าท่านอาจจะอาศัยระบบตรวจสอบพฤติกรรมออนไลน์ได้เสมอ จะโรยผักชีอย่างไร ข้อเท็จจริงก็ต้องเผยไปวันยังค่ำแหล่ะค่ะสำหรับตำนานประเพณีกินเจต่อมา บอกเอาไว้ว่า เริ่มมีการถือศีลกินเจในสมัยราชวงศ์เช็ง แห่งพระนางซูสีไทเฮาค่ะ เพราะว่าในช่วงที่เกิดกบฏไต้เผ็งหรือที่รู้จักกันในนาม กบฏนักมวยนั้นมีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากค่ะ ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์ร้ายแรงนั้นแล้ว ประชาชนก็จึงพร้อมใจกันรักษาศีลและละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เหล่านั้นค่ะ สำหรับประวัติการกินเจ ตำนานสุดท้ายเท่าที่สามารถสืบค้นมาได้นะคะ ก็มีหลักฐานอ้างอิงเอาไว้ว่า เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในยุคต้นราชวงศ์หมิงค่ะ เพราะว่าก่อนหน้าที่ราชวงศ์หมิงจะได้ขึ้นครองจีนนั้น ประชาชนชาวจีนทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การปกครองของ ราชวงศ์หยวนซึ่งเป็นชาวมองโกลเกือบร้อยปี ซึ่งนับเป็นห้วงเวลาแห่งความทุกข์ ทรมาน มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อชาวจีนสามารถโค่นล้มราชวงศ์มองโกล ลงได้และราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวจีนโดยแท้ได้ขึ้นปกครองจีน ชาวจีนทั้งแผ่นดินจึงพร้อมใจงดบริโภคเนื้อสัตว์และถือศีลเป็นเวลา 9 วันเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่เสียชีวิต จากความทุกข์ยากในห้วงเวลาที่ผ่านมา จากนั้นมาทุกปี ในห้วงเวลาเดียวกัน ก็จะมีการงดบริโภคเนื้อสัตว์และรักษาศีลเช่นนี้สืบต่อกันมาจน เป็นประเพณีอย่างที่เราเห็นๆ กันนี่แหละค่ะแม้ว่าในตำนานเทศกาลกินเจทั้ง 3 ตำนานที่กล่าวมานั้นจะไม่มีอะไรที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่า แท้จริงแล้วที่มาที่ไปของเทศกาลกินเจนี้ เป็นอย่างไรกันแน่ก็ตามนะคะ แต่แม่อบเชย เห็นว่า หากประเพณีใดที่มีคุณค่า มีความดีความงามผสมผสานอยู่แล้วละก็ อย่าพักไปสงสัยกับที่ไปที่มานักเลยค่ะ สานต่อกันไว้ดีกว่าค่ะ โดยเฉพาะเทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความรักผู้อื่นและรักตนเองเช่นนี้ ปฏิบัติตามย่อมมีแต่ได้กับได้ทั้งนั้น เลยค่ะเทศกาลกินเจปี 2551 นี้จะเริ่มขึ้นในวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ค่ะ หากแม่อบเชยบอก เช่นนี้คงมีคุณผู้อ่านโยนค้อนเข้ามาให้สักวงสองวงเป็นแน่แท้ เพราะปัจจุบันสมัยเรา ไม่ค่อยได้รู้จักข้างขึ้นข้างแรมกันนัก เอาใหม่ค่ะ เริ่มกันในช่วงวันที่ 29 กันยายน - 7 ตุลาคม ค่ะ ซึ่งบางคนก็จะเริ่มกินล่วงหน้าประมาณวันหรือสองวันเพื่อล้างท้องไส้ให้สะอาด ปราศจากการตกค้างของเนื้อสัตว์ใดๆ พร้อมที่จะรักษาศีลกินเจให้บริสุทธิ์ อย่างแท้จริงค่ะ และเมื่อถึงวันเริ่มกินเจจริงๆ นั้น ผู้ที่ร่วมเทศกาลก็จะแต่งกายด้วย ชุดสีขาวล้วน ดูสะอาดตาเต็มไปหมดในย่านที่การกินเจเป็นที่นิยม โดยเฉพาะแถวเยาวราชค่ะ สำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่มีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่นั้นก็มีการเฉลิมฉลอง เทศกาลประกอบไปด้วยอย่างใหญ่โตมโหฬาร เช่น ในจังหวัดภูเก็ตนั้น การฉลองเทศกาลกินเจยิ่งใหญ่ และพิสดารจนกลายเป็นจุดขายทางการทอ่งเที่ยวไปแล้วค่ะ เพราะว่าจวนจะถึงช่วงเทศกาลกินเจนั้น ปรกติโรงแรมแถวภูเก็ตจะถูกจองเต็มไปหมด (แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรค่ะ) เพราะว่าผู้คนจากทั่วสารทิศล้วนหลั่งไหลไปรวมกันอยู่ที่นั่น เพราะอยากไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า "ม้าทรง"ที่เทพเจ้าลงมาประทับนั้น สามารถที่จะเดินในกองไฟ ได้โดยไม่เจ็บปวด สามารถใช้ปีนบันไดที่ขั้นบันไดทำด้วยใบมีดโกนได้โดยบาดเจ็บ เพียงเล็กน้อยจริงหรือ รวมทั้งการนำดาบ หรือเหล็กแหลมมาเสียบตามลิ้น ตามตัว หรือกระทั่งแทงให้ทะลุกระพุ้งแก้ม เป็นที่น่าหวาดเสียวว่าจะมีเนื้อหลุดออกมา เป็นชิ้นๆ นั้น เมื่อเทพเจ้าออกไปจากสื่อหรือม้าทรงแล้ว พวกเขาสามารถกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้จริงหรือ นั่นเองค่ะ
ที่มา:thaifooddb.com
ต้มพะโล้เจ
ต้มพะโล้เจอาหารเจที่ทำเสมือนต้มพะโล้ รสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นเห็ดหอม
ส่วนผสม
1.เต้าหู้ทอด 5 ก้อน
2.เห็ดหอมแช่น้ำ 10 ดอก
3.หมี่กึงแบบไส้หมู 1 ถ้วย
4.น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
5.น้ำมันหอยเจ 1 ช้อนโต๊ะ
6.เกลือป่น 2 ช้อนชา
7.น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
8.ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
9.ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
10.น้ำแช่เห็ดหอม 3 ถ้วย
1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันเล็กน้อย ผัดเห็ดหอมให้พอหอม พรมซิอิ๊วขาวนิดหน่อย ตักขึ้นพักไว้
2. ล้างกระทะใหม่ ผัดหมี่กึงในน้ำมันจนสุก
3. เติมน้ำแช่เห็ดหอม ใส่เต้าหู้ เห็ดหอมพอเดือดใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงไป คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ
ยกเสิร์ฟ
ที่มา : thaifooddb.com
ส่วนผสม
1.เต้าหู้ทอด 5 ก้อน
2.เห็ดหอมแช่น้ำ 10 ดอก
3.หมี่กึงแบบไส้หมู 1 ถ้วย
4.น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
5.น้ำมันหอยเจ 1 ช้อนโต๊ะ
6.เกลือป่น 2 ช้อนชา
7.น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะ
8.ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนชา
9.ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนโต๊ะ
10.น้ำแช่เห็ดหอม 3 ถ้วย
วิธีทำ
1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันเล็กน้อย ผัดเห็ดหอมให้พอหอม พรมซิอิ๊วขาวนิดหน่อย ตักขึ้นพักไว้
2. ล้างกระทะใหม่ ผัดหมี่กึงในน้ำมันจนสุก
3. เติมน้ำแช่เห็ดหอม ใส่เต้าหู้ เห็ดหอมพอเดือดใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงไป คนให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ
ยกเสิร์ฟ
ที่มา : thaifooddb.com
ข้าวผัดเจเมนูอาหารเจ
ข้าวผัดเจเมนูอาหารเจ ง่ายๆ ข้าวผัดเจ เมนูเพื่อการถือศีลบำเพ็ญธรรม
ส่วนผสม
1.ข้าวสวย 1 ถ้วย
2.เห็ดหอม 2 ดอก
3.ถั่วฝักยาว หั่น 1/2 ซม. 1/4 ถ้วย
4.แครทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 1/4 5.ถ้วย
5.เต้าหู้เหลืองหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 1/2 ถ้วย
6.น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
7.ซีอิ๊วขาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
8.น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
9.ซีอิ๊วดำ 1/2 ช้อนชา
1. หั่นเห็ดหอมเป็นชิ้นเล็ก
2. ใส่น้ำมันพืชในกระทะ ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ไฟอ่อน นำเห็ดหอมลงผัด จนเริ่มเหลือง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวเล็กน้อย พอให้มีกลิ่นหอม ตักขึ้นพักไว้
3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่ข้าวลงผัด
4. ใส่เต้าหู้เหลือง ถั่วฝักยาว แครอท และเห็ดหอมที่เตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน
5. ใส่ซีอิ๊วดำ(แต่งพอให้มีสีสวย) ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ผัดจนสุกทั่ว ตักใส่จาน เสิร์ฟ
ที่มา: thaifooddb.com
ส่วนผสม
1.ข้าวสวย 1 ถ้วย
2.เห็ดหอม 2 ดอก
3.ถั่วฝักยาว หั่น 1/2 ซม. 1/4 ถ้วย
4.แครทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 1/4 5.ถ้วย
5.เต้าหู้เหลืองหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก 1/2 ถ้วย
6.น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
7.ซีอิ๊วขาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
8.น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
9.ซีอิ๊วดำ 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. หั่นเห็ดหอมเป็นชิ้นเล็ก
2. ใส่น้ำมันพืชในกระทะ ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ใช้ไฟอ่อน นำเห็ดหอมลงผัด จนเริ่มเหลือง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวเล็กน้อย พอให้มีกลิ่นหอม ตักขึ้นพักไว้
3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่ข้าวลงผัด
4. ใส่เต้าหู้เหลือง ถั่วฝักยาว แครอท และเห็ดหอมที่เตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน
5. ใส่ซีอิ๊วดำ(แต่งพอให้มีสีสวย) ซีอิ๊วขาว น้ำตาลทราย ผัดจนสุกทั่ว ตักใส่จาน เสิร์ฟ
ที่มา: thaifooddb.com
ต้มกะหล่ำเจ
ต้มกะหล่ำเจมาแล้วจ้าต้อนรับเทศกาลกินเจ เป็นเมนูอาหารเจรสเลิศ ต้มกะหล่ำเจ แม้ว่าหน้าตาจะแสนธรรมดา แต่เป็นที่ยอมรับกันว่า รสชาติอร่อยเลิศล้ำ เกินพรรณนา สูตรเด็ดจากเจ้พิม
(คุณแม่ของเว็บคุ้กกี้เอง)ถ้าไม่รักกันจริง ไม่นำออกมาเผยกันให้ดูนะเนี่ย เมนูนี้ ทำไม่ยาก แต่จะทำให้อร่อยต้องมีเทคนิคกันเล็กน้อย ก็ ลองเอาไปทำทานกันดูนะจ๊ะ
เครื่องปรุง
1. กะหล่ำปลี 4 หัว
2. เห็ดหอม 10 ดอก
3. ฟองเต้าหู้ทอด 1 ถ้วยตวง
4. ซิอิ๊วขาว 1/2 ถ้วยตวง
5. ซอสปรุงรส 2 ช้อนตวง
6. พริกไทยเม็ด 20 เม็ด
7. น้ำมันพืช
8. น้ำเปล่า
วิธีทำ
1. ผ่ากะหล่ำปลี ออกเป็นสี่ถึงหกซีก (ขึ้นอยู่ว่าหัวเล็กหรือใหญ่) นำไปล้างน้ำให้สะอาด และผึ่งให้แห้ง จากนั้นเทน้ำมันพืชใส่กะทะ รอจนน้ำมันร้อน ใส่กะหล่ำปลีลงทอดให้เหลือง และดูว่าผักนุ่มลง (เวลาทอดให้ใช้ไฟปานกลาง คอยกลับข้างกะหล่ำด้วย น้ำมันที่ใช้ต้องมากพอท่วมผัก ไม่เช่นนั้นผักจะไหม้) จากนั้นตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน (ต้องสะเด็ดน้ำมันนานๆ ไม่อย่างนั้นเวลาต้มออกมา จะมันมาก) ถึงตอนนี้กลิ่นกะหล่ำทอดก็หอมไปทั่วบ้านแล้วล่ะ
2. เรียงกะหล่ำใส่หม้อ โรยด้วยพริกไทยเม็ด บุบพอแตก ใส่น้ำเปล่าพอท่วมผัก ใส่ฟองเต้าหู้ทอด นำขึ้นตั้งไฟ ส่วนเห็ดหอมแห้ง ให้นำไปแช่น้ำจนนุ่ม (ถ้าดอกแข็งมากให้ใช้น้ำอุ่น) จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ (อย่าลืมตัดแกนออก เพราะส่วนมากจะแข็ง เดี๋ยวจะทานไม่อร่อย) นำกะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย ใส่เห็ดหอมที่เตรียมไว้ลงผัด ใช้ไฟอ่อน ผัดจนเห็ดหอม มีกลิ่นหอม ปรุงรสด้วยซิอิ๊วขาวเล็กน้อย ตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน
3. ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว และซอสปรุงรส ตั้งไฟจน เดือนเข้ากันดี ชิมรสและปรุงรสเพิ่มตามความชอบ
(ถ้าจะประหยัด ชิมแล้วรู้สึกว่าไม่เค็ม ปรุงรสเพิ่มด้วย เกลือ แต่ถ้าจะให้อร่อยเลิศแบบทุ่มทุนสร้างแนะนำว่าให้ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว ไม่ใช้เกลือค่ะ แบบว่าอร่อยมากๆ ขอบอก )
ที่มา: thaifooddb.com
(คุณแม่ของเว็บคุ้กกี้เอง)ถ้าไม่รักกันจริง ไม่นำออกมาเผยกันให้ดูนะเนี่ย เมนูนี้ ทำไม่ยาก แต่จะทำให้อร่อยต้องมีเทคนิคกันเล็กน้อย ก็ ลองเอาไปทำทานกันดูนะจ๊ะ
เครื่องปรุง
1. กะหล่ำปลี 4 หัว
2. เห็ดหอม 10 ดอก
3. ฟองเต้าหู้ทอด 1 ถ้วยตวง
4. ซิอิ๊วขาว 1/2 ถ้วยตวง
5. ซอสปรุงรส 2 ช้อนตวง
6. พริกไทยเม็ด 20 เม็ด
7. น้ำมันพืช
8. น้ำเปล่า
วิธีทำ
1. ผ่ากะหล่ำปลี ออกเป็นสี่ถึงหกซีก (ขึ้นอยู่ว่าหัวเล็กหรือใหญ่) นำไปล้างน้ำให้สะอาด และผึ่งให้แห้ง จากนั้นเทน้ำมันพืชใส่กะทะ รอจนน้ำมันร้อน ใส่กะหล่ำปลีลงทอดให้เหลือง และดูว่าผักนุ่มลง (เวลาทอดให้ใช้ไฟปานกลาง คอยกลับข้างกะหล่ำด้วย น้ำมันที่ใช้ต้องมากพอท่วมผัก ไม่เช่นนั้นผักจะไหม้) จากนั้นตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน (ต้องสะเด็ดน้ำมันนานๆ ไม่อย่างนั้นเวลาต้มออกมา จะมันมาก) ถึงตอนนี้กลิ่นกะหล่ำทอดก็หอมไปทั่วบ้านแล้วล่ะ
2. เรียงกะหล่ำใส่หม้อ โรยด้วยพริกไทยเม็ด บุบพอแตก ใส่น้ำเปล่าพอท่วมผัก ใส่ฟองเต้าหู้ทอด นำขึ้นตั้งไฟ ส่วนเห็ดหอมแห้ง ให้นำไปแช่น้ำจนนุ่ม (ถ้าดอกแข็งมากให้ใช้น้ำอุ่น) จากนั้นนำมาหั่นเป็นชิ้นพอคำ (อย่าลืมตัดแกนออก เพราะส่วนมากจะแข็ง เดี๋ยวจะทานไม่อร่อย) นำกะทะตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย ใส่เห็ดหอมที่เตรียมไว้ลงผัด ใช้ไฟอ่อน ผัดจนเห็ดหอม มีกลิ่นหอม ปรุงรสด้วยซิอิ๊วขาวเล็กน้อย ตักขึ้นพักสะเด็ดน้ำมัน
3. ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว และซอสปรุงรส ตั้งไฟจน เดือนเข้ากันดี ชิมรสและปรุงรสเพิ่มตามความชอบ
(ถ้าจะประหยัด ชิมแล้วรู้สึกว่าไม่เค็ม ปรุงรสเพิ่มด้วย เกลือ แต่ถ้าจะให้อร่อยเลิศแบบทุ่มทุนสร้างแนะนำว่าให้ปรุงรสด้วย ซิอิ๊วขาว ไม่ใช้เกลือค่ะ แบบว่าอร่อยมากๆ ขอบอก )
ที่มา: thaifooddb.com
2008-10-11
ต้มไก่ตัวให้สวย
เคล็ดลับ
ต้มไก่ตัวให้สวย หนังไม่ลอกทำความสะอาดไก่ ดึงขนที่ตกค้างตามส่วนต่างๆ ออกแล้วล้างให้สะอาดรวมทั้งข้างในตัวไก่ด้วย ใส่เกลือลงในท้องไก่ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต้มน้ำ ให้เดือด นำไก่ลงต้มแล้วเบาไฟ น้ำควรท่วมตัวไก่ คอยเติมน้ำให้เดือดปุดๆ เล็กน้อย คอยช้อนฟองออก เพื่อป้องกันคราบฟองติดบนตัวไก่ ต้มนานประมาณ30 - 40 นาทีจนไก่สุก
ที่มา : thaifooddb.com
ต้มไก่ตัวให้สวย หนังไม่ลอกทำความสะอาดไก่ ดึงขนที่ตกค้างตามส่วนต่างๆ ออกแล้วล้างให้สะอาดรวมทั้งข้างในตัวไก่ด้วย ใส่เกลือลงในท้องไก่ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ต้มน้ำ ให้เดือด นำไก่ลงต้มแล้วเบาไฟ น้ำควรท่วมตัวไก่ คอยเติมน้ำให้เดือดปุดๆ เล็กน้อย คอยช้อนฟองออก เพื่อป้องกันคราบฟองติดบนตัวไก่ ต้มนานประมาณ30 - 40 นาทีจนไก่สุก
ที่มา : thaifooddb.com
ลวกเส้นสปาเกตตี้ให้ทานอร่อย
เคล็ดลับ
ลวกเส้นสปาเกตตี้ให้ทานอร่อยการลวกเส้นสปาเกตตี้นี่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะบางครั้งหากลวกไม่พอดี เส้นก็อาจจะเละไป หรือไม่ก็แข็งไป รายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี่มองข้ามไม่ได้นะคะ เพราะสปาเกตตี้จะอร่อยหรือไม่อร่อยส่วนนึงก็อยู่ที่เส้นนี่แหละค่ะ จะลวกเส้นสปาเกตตี้ให้อร่อยเริ่มจาก ต้องใส่เกลือเล็กน้อยลงไปในน้ำที่จะใช้ลวก พอน้ำเดือดก็ใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไป ต้มจนเส้นอ่อนตัว ลองตักเส้นขึ้นมาชิม สังเกตว่ายังกรุบๆอยู่ตรงกลางเล็กน้อยก็แสดงว่าใช้ได้ยกหม้อขึ้น ช้อนเส้นขึ้นให้สะเด็ดน้ำ แล้วแช่ลงในน้ำเย็นทันที พอเส้นเย็นแล้วค่อยตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำอีกครั้ง เคล้าด้วยน้ำมันเล็กน้อย เป็นอันเสร็จ นำไปปรุงรสต่อได้ค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
ลวกเส้นสปาเกตตี้ให้ทานอร่อยการลวกเส้นสปาเกตตี้นี่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะบางครั้งหากลวกไม่พอดี เส้นก็อาจจะเละไป หรือไม่ก็แข็งไป รายละเอียดเล็กๆน้อยๆนี่มองข้ามไม่ได้นะคะ เพราะสปาเกตตี้จะอร่อยหรือไม่อร่อยส่วนนึงก็อยู่ที่เส้นนี่แหละค่ะ จะลวกเส้นสปาเกตตี้ให้อร่อยเริ่มจาก ต้องใส่เกลือเล็กน้อยลงไปในน้ำที่จะใช้ลวก พอน้ำเดือดก็ใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไป ต้มจนเส้นอ่อนตัว ลองตักเส้นขึ้นมาชิม สังเกตว่ายังกรุบๆอยู่ตรงกลางเล็กน้อยก็แสดงว่าใช้ได้ยกหม้อขึ้น ช้อนเส้นขึ้นให้สะเด็ดน้ำ แล้วแช่ลงในน้ำเย็นทันที พอเส้นเย็นแล้วค่อยตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำอีกครั้ง เคล้าด้วยน้ำมันเล็กน้อย เป็นอันเสร็จ นำไปปรุงรสต่อได้ค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
2008-10-10
ใบมะกรูด มหัศจรรย์
เคล็ดลับ
ใบมะกรูด มหัศจรรย์กำจัดแมลงในข้าวสาร หลายๆ ครั้งที่เมื่อซื้อข้าวสารมาเก็บไว้ในโอ่ง หรือในกระสอบ มักจะมีแมลงตัวเล็กๆติดมาด้วย หรือบางทีนำมาเก็บไว้ไม่นาน เจ้าแมลงก็พากันอพยพเข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับเชิญ กว่าจะซาวข้าวให้สะอาดได้ ต้องเสียเวลาในการเก็บออก หรือไม่ก็ต้องซาวหลายน้ำ เสียคุณค่าทางอาหารไปอีก แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ ให้ใส่ใบมะกรูดลงไปในถังข้าวสาร ใส่ทั้งก้านเลยก็ได้ (สะดวกในการเก็บออก) หลังจากนั้นไม่นานแมลงที่อาศัยอยู่เดิมก็จะตาย รวมทั้งไม่มีหน้าใหม่ๆ ย้ายเข้ามาอาศัยอีกด้วย ถ้าใบมะกรูดแห้งจนไม่มีกลิ่นแล้วก็ค่อยเปลี่ยนใบใหม่นะคะ
ที่มา : thaifooddb.com
ใบมะกรูด มหัศจรรย์กำจัดแมลงในข้าวสาร หลายๆ ครั้งที่เมื่อซื้อข้าวสารมาเก็บไว้ในโอ่ง หรือในกระสอบ มักจะมีแมลงตัวเล็กๆติดมาด้วย หรือบางทีนำมาเก็บไว้ไม่นาน เจ้าแมลงก็พากันอพยพเข้ามาอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับเชิญ กว่าจะซาวข้าวให้สะอาดได้ ต้องเสียเวลาในการเก็บออก หรือไม่ก็ต้องซาวหลายน้ำ เสียคุณค่าทางอาหารไปอีก แก้ปัญหาได้ไม่ยากเลยค่ะ ให้ใส่ใบมะกรูดลงไปในถังข้าวสาร ใส่ทั้งก้านเลยก็ได้ (สะดวกในการเก็บออก) หลังจากนั้นไม่นานแมลงที่อาศัยอยู่เดิมก็จะตาย รวมทั้งไม่มีหน้าใหม่ๆ ย้ายเข้ามาอาศัยอีกด้วย ถ้าใบมะกรูดแห้งจนไม่มีกลิ่นแล้วก็ค่อยเปลี่ยนใบใหม่นะคะ
ที่มา : thaifooddb.com
ล้างกระเพาะปลาไม่ให้เหลือกลิ่น
เคล็ดลับ
ล้างกระเพาะปลาไม่ให้เหลือกลิ่นน้ำมันนึกจะทำอาหารเมนูกระเพาะปลาทั้งที ก็กลับมาเจอกับปัญหา กลิ่นคาวน้ำมันของกระเพาะปลาที่ติดแน่นล้างยากล้างเย็นเสียจริงๆการล้างกระเพาะปลาให้หมดกลิ่นน้ำมันมีวิธีการดังนี้ค่ะเริ่มแรกให้แช่ กระเพาะปลาให้นิ่มและล้างน้ำทิ้งสักรอบนึงก่อน บีบกระเพาะปลาให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นต้มน้ำร้อนในหม้อใบใหญ่ ใส่กระเพาะปลาลงในหม้อ ตามด้วยขิงแก่ หั่นเป็นแผ่นๆ ทุบพอแตก ใส่เยอะหน่อยนะคะ ต้มต่อไปอีกสักพัก พอกระเพาะปลาพองตัวใช้ได้ ค่อยยกลงเทใส่ตะกร้าหรือกระชอนเพื่อเป็นการ ถ่ายน้ำร้อนออก แล้วล้างตามด้วยน้ำเย็นอีกสัก 2 ครั้ง บีบกระเพาะปลา ให้สะเด็ดน้ำเพียงเท่านี้ก็จะได้กระเพาะปลาไร้กลิ่นน้ำมันมากวนใจอีก เพราะขิงแก่จะช่วยดับกลิ่นคาวน้ำมันได้ค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
ล้างกระเพาะปลาไม่ให้เหลือกลิ่นน้ำมันนึกจะทำอาหารเมนูกระเพาะปลาทั้งที ก็กลับมาเจอกับปัญหา กลิ่นคาวน้ำมันของกระเพาะปลาที่ติดแน่นล้างยากล้างเย็นเสียจริงๆการล้างกระเพาะปลาให้หมดกลิ่นน้ำมันมีวิธีการดังนี้ค่ะเริ่มแรกให้แช่ กระเพาะปลาให้นิ่มและล้างน้ำทิ้งสักรอบนึงก่อน บีบกระเพาะปลาให้สะเด็ดน้ำ จากนั้นต้มน้ำร้อนในหม้อใบใหญ่ ใส่กระเพาะปลาลงในหม้อ ตามด้วยขิงแก่ หั่นเป็นแผ่นๆ ทุบพอแตก ใส่เยอะหน่อยนะคะ ต้มต่อไปอีกสักพัก พอกระเพาะปลาพองตัวใช้ได้ ค่อยยกลงเทใส่ตะกร้าหรือกระชอนเพื่อเป็นการ ถ่ายน้ำร้อนออก แล้วล้างตามด้วยน้ำเย็นอีกสัก 2 ครั้ง บีบกระเพาะปลา ให้สะเด็ดน้ำเพียงเท่านี้ก็จะได้กระเพาะปลาไร้กลิ่นน้ำมันมากวนใจอีก เพราะขิงแก่จะช่วยดับกลิ่นคาวน้ำมันได้ค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
เคล็ดลับ การย่างปลา
เคล็ดลับ
การย่างปลา
เคยมั๊ยค่ะ ย่างปลารับประทานเอง จากปลาตัวอ้วน ย่างเสร็จเหลือตัวนิดเดียว เพราะหนังหาย เนื้อหาย ติดตะแกรงย่างไปซะหมด มีเคล็ดลับวิธีย่างปลา ไม่ให้ติดตะแกรง มาฝากค่ะ
วิธีแรก เวลาย่าง ก่อนจะวางปลาลงย่าง บนตะแกรง ให้วางตะแกรงบนไฟ ให้ร้อนเสียก่อน แล้วค่อยวางปลาลงย่าง จะช่วยให้ปลาไม่ ติดตะแกรงค่ะ
อีกวิธีนะคะ ให้ใช้น้ำส้มสายชู ทาตะแกรงให้ทั่วก่อนเอาไปใช้ย่างปลา จะช่วยให้ปลาไม่ติดตะแกรงค่ะ
แถมให้อีกนิด เวลาย่างปลา ถ้าไม่อยากให้มีควันคลุ้ง ขณะย่างปลา ให้ใช้ถ่านที่คุไฟดีแล้ว และใช้เกลือโรย จะช่วยให้ไม่มีควันคลุ้งค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
การย่างปลา
เคยมั๊ยค่ะ ย่างปลารับประทานเอง จากปลาตัวอ้วน ย่างเสร็จเหลือตัวนิดเดียว เพราะหนังหาย เนื้อหาย ติดตะแกรงย่างไปซะหมด มีเคล็ดลับวิธีย่างปลา ไม่ให้ติดตะแกรง มาฝากค่ะ
วิธีแรก เวลาย่าง ก่อนจะวางปลาลงย่าง บนตะแกรง ให้วางตะแกรงบนไฟ ให้ร้อนเสียก่อน แล้วค่อยวางปลาลงย่าง จะช่วยให้ปลาไม่ ติดตะแกรงค่ะ
อีกวิธีนะคะ ให้ใช้น้ำส้มสายชู ทาตะแกรงให้ทั่วก่อนเอาไปใช้ย่างปลา จะช่วยให้ปลาไม่ติดตะแกรงค่ะ
แถมให้อีกนิด เวลาย่างปลา ถ้าไม่อยากให้มีควันคลุ้ง ขณะย่างปลา ให้ใช้ถ่านที่คุไฟดีแล้ว และใช้เกลือโรย จะช่วยให้ไม่มีควันคลุ้งค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
เทคนิคทอดอาหารไม่ให้เลี่ยน
เคล็ดลับ
เทคนิคทอดอาหารไม่ให้เลี่ยนขนมปังหน้ากุ้งเอย ปาท่องโก๋เอย อาหารอร่อยๆ ที่แค่ได้ยินชื่อก็เรียกน้ำย่อยมารอในกระเพาะได้แล้ว แต่ความอร่อยคงจะลดลงทันที ที่เมื่อเรากัดเข้าปากแล้วต้องเจอกับสภาพน้ำมันเยิ้มออกมาจนทำให้รู้สึกเลี่ยน จะทำยังไงให้อาหารประเภททอดๆ ทานแล้วไม่เลี่ยน คำตอบก็คือต้องทอดให้ไม่อมน้ำมันเทคนิคก็ง่ายๆค่ะ แค่ใส่น้ำส้มสายชูเล็กน้อยลงไปในน้ำมันที่จะใช้ทอด แล้วก็ทอดตามปกติ เพียงเท่านี้เมนูโปรดของคุณก็จะไม่อมน้ำมันแล้วล่ะค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
เทคนิคทอดอาหารไม่ให้เลี่ยนขนมปังหน้ากุ้งเอย ปาท่องโก๋เอย อาหารอร่อยๆ ที่แค่ได้ยินชื่อก็เรียกน้ำย่อยมารอในกระเพาะได้แล้ว แต่ความอร่อยคงจะลดลงทันที ที่เมื่อเรากัดเข้าปากแล้วต้องเจอกับสภาพน้ำมันเยิ้มออกมาจนทำให้รู้สึกเลี่ยน จะทำยังไงให้อาหารประเภททอดๆ ทานแล้วไม่เลี่ยน คำตอบก็คือต้องทอดให้ไม่อมน้ำมันเทคนิคก็ง่ายๆค่ะ แค่ใส่น้ำส้มสายชูเล็กน้อยลงไปในน้ำมันที่จะใช้ทอด แล้วก็ทอดตามปกติ เพียงเท่านี้เมนูโปรดของคุณก็จะไม่อมน้ำมันแล้วล่ะค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
เคล็ดลับ วิธีปั้นทอดมัน ไม่ให้เหนียวติดมือ
เคล็ดลับ
วิธีปั้นทอดมัน ไม่ให้เหนียวติดมือ
ฟังดูแล้วขัดๆ มั๊ยค่ะ ทอดมันจะให้ทานได้อร่อย ต้องนวดส่วนผสม ให้เหนียว ยิ่งเหนียวได้ที่ยิ่งทอดแล้วทานอร่อย แต่ว่าเวลามันเหนียวแล้ว นี่สิคะ เลยทำให้ทอดลำบากจัง เพราะว่ามันเหนียวติดมือค่ะ
จริงๆแล้วไม่ยากเลยนะคะ เวลาจะปั้นทอดมันลงทอด ให้เตรียมชามใบใหญ่ ใส่น้ำเปล่าลงไป ตามด้วยเกลือประมาณ 1 ช้อนทานข้าว คนให้ละลาย พอน้ำมันในกระทะร้อนได้ที่ ให้เอานิ้วมือ จุ่มในน้ำเกลือ ก่อนใช้มือข้างนั้น ปั้นส่วนผสมลงทอด ส่วนผสมจะไม่ติดมือค่ะ ถ้าเริ่มปั้นแล้วเหนียวติดมืออีก ก็เอามือไปจุ่มน้ำเกลือใหม่ค่ะ ง่ายมากๆ เลยใช่มั๊ยค่ะ
ที่มา :thaifooddb.com
วิธีปั้นทอดมัน ไม่ให้เหนียวติดมือ
ฟังดูแล้วขัดๆ มั๊ยค่ะ ทอดมันจะให้ทานได้อร่อย ต้องนวดส่วนผสม ให้เหนียว ยิ่งเหนียวได้ที่ยิ่งทอดแล้วทานอร่อย แต่ว่าเวลามันเหนียวแล้ว นี่สิคะ เลยทำให้ทอดลำบากจัง เพราะว่ามันเหนียวติดมือค่ะ
จริงๆแล้วไม่ยากเลยนะคะ เวลาจะปั้นทอดมันลงทอด ให้เตรียมชามใบใหญ่ ใส่น้ำเปล่าลงไป ตามด้วยเกลือประมาณ 1 ช้อนทานข้าว คนให้ละลาย พอน้ำมันในกระทะร้อนได้ที่ ให้เอานิ้วมือ จุ่มในน้ำเกลือ ก่อนใช้มือข้างนั้น ปั้นส่วนผสมลงทอด ส่วนผสมจะไม่ติดมือค่ะ ถ้าเริ่มปั้นแล้วเหนียวติดมืออีก ก็เอามือไปจุ่มน้ำเกลือใหม่ค่ะ ง่ายมากๆ เลยใช่มั๊ยค่ะ
ที่มา :thaifooddb.com
มะละกอสำหรับตำส้มตำ
เคล็ดลับ
มะละกอสำหรับตำส้มตำ ทำอย่างไรให้กรอบอร่อยไม่นิ่มเละแปลกจริงหนอเวลาลุกขึ้นมาตำส้มตำทานเอง เจ้ามะละกอที่เราสับเองกับมือมันกับเส้นนิ่มเละ ตำแล้วทานไม่อร่อยเหมือนกับที่ซื้อจากเจ้าประจำหน้าปากซอยมาทานเอาเสียเลย จะว่าสับเส้นเล็กก็ไม่ใช่ จะว่าตำนานไปก็ไม่เชิงเทคนิคง่ายมากค่ะ คว้ามะนาวขึ้นมาเลยค่ะหนึ่งลูก หรือจะใช้เปลือกมะนาวที่บีบเอาน้ำเตรียมสำหรับปรุงรสส้มตำออกแล้วก็ได้ค่ะ เอามะละกอที่สับเสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ลงในอ่าง ใส่น้ำเปล่าลงพอท่วมเส้นมะละกอ ตามด้วยเปลือกมะนาว ถ้ากลัวเปลือกไม่พอ บีบน้ำมะนาวตามลงไปอีกหน่อย คลุกเบาๆ ย้ำ..เบาๆนะคะ เบาๆ แช่ทิ้งไว้สักครู่ ก่อนจะนำเส้นมะละกอขึ้นมาสะเด็ดน้ำนำไปตำส้มตำตามปรกติ แปลกมากค่ะ เส้นกรอบอร่อยจนแทบไม่น่าเชื่อ ลองดูสิคะได้ผลแน่นอน (เพราะแม่ค้าส้มตำเค้าบอกมา)
ที่มา: thaifooddb.com
มะละกอสำหรับตำส้มตำ ทำอย่างไรให้กรอบอร่อยไม่นิ่มเละแปลกจริงหนอเวลาลุกขึ้นมาตำส้มตำทานเอง เจ้ามะละกอที่เราสับเองกับมือมันกับเส้นนิ่มเละ ตำแล้วทานไม่อร่อยเหมือนกับที่ซื้อจากเจ้าประจำหน้าปากซอยมาทานเอาเสียเลย จะว่าสับเส้นเล็กก็ไม่ใช่ จะว่าตำนานไปก็ไม่เชิงเทคนิคง่ายมากค่ะ คว้ามะนาวขึ้นมาเลยค่ะหนึ่งลูก หรือจะใช้เปลือกมะนาวที่บีบเอาน้ำเตรียมสำหรับปรุงรสส้มตำออกแล้วก็ได้ค่ะ เอามะละกอที่สับเสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ลงในอ่าง ใส่น้ำเปล่าลงพอท่วมเส้นมะละกอ ตามด้วยเปลือกมะนาว ถ้ากลัวเปลือกไม่พอ บีบน้ำมะนาวตามลงไปอีกหน่อย คลุกเบาๆ ย้ำ..เบาๆนะคะ เบาๆ แช่ทิ้งไว้สักครู่ ก่อนจะนำเส้นมะละกอขึ้นมาสะเด็ดน้ำนำไปตำส้มตำตามปรกติ แปลกมากค่ะ เส้นกรอบอร่อยจนแทบไม่น่าเชื่อ ลองดูสิคะได้ผลแน่นอน (เพราะแม่ค้าส้มตำเค้าบอกมา)
ที่มา: thaifooddb.com
เคล็ดลับตำน้ำพริกกะปิให้อร่อยเลิศ
เคล็ดลับ
ตำน้ำพริกกะปิให้อร่อยเลิศตำน้ำพริกกะปิให้อร่อยน่ะหรือคะ ไม่ยากเลยค่ะ ต้องเริ่มตั้งแต่เลือกซื้อกะปิ ต้องเป็นกะปิดี หอมไม่หืน กระเทียมที่ใช้ควรเป็นกระเทียมกลีบเล็กค่ะเพราะจะหอมกว่ากระเทียมเม็ดใหญ่ พริกขี้หนูก็เหมือนกันควรเป็นพริกขี้หนูเม็ดเล็ก ก่อนจะตำให้เอาใบตองมาห่อกะปิไปปิ้งให้หอม จากนั้นเอาไปตำสูตรใครก็สูตรใครล่ะค่ะ เปรี้ยว หวาน เค็ม ตามรสนิยม ถ้าอยากให้น้ำพริกดูมีเนื้อข้น แนะนำให้ใส่กุ้งแห้งลงไปตำด้วย เคยลองใช้น้ำส้มคั้นผสมลงไปด้วยให้รสหวานอมเปรี้ยวกลมกล่อม อร่อยไม่ใช่เล่นเลยล่ะ ไม่เชื่อต้องลองดูค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
ตำน้ำพริกกะปิให้อร่อยเลิศตำน้ำพริกกะปิให้อร่อยน่ะหรือคะ ไม่ยากเลยค่ะ ต้องเริ่มตั้งแต่เลือกซื้อกะปิ ต้องเป็นกะปิดี หอมไม่หืน กระเทียมที่ใช้ควรเป็นกระเทียมกลีบเล็กค่ะเพราะจะหอมกว่ากระเทียมเม็ดใหญ่ พริกขี้หนูก็เหมือนกันควรเป็นพริกขี้หนูเม็ดเล็ก ก่อนจะตำให้เอาใบตองมาห่อกะปิไปปิ้งให้หอม จากนั้นเอาไปตำสูตรใครก็สูตรใครล่ะค่ะ เปรี้ยว หวาน เค็ม ตามรสนิยม ถ้าอยากให้น้ำพริกดูมีเนื้อข้น แนะนำให้ใส่กุ้งแห้งลงไปตำด้วย เคยลองใช้น้ำส้มคั้นผสมลงไปด้วยให้รสหวานอมเปรี้ยวกลมกล่อม อร่อยไม่ใช่เล่นเลยล่ะ ไม่เชื่อต้องลองดูค่ะ
ที่มา : thaifooddb.com
ลวกผักให้เขียวสวยน่ารับประทาน
เคล็ดลับ
ลวกผักให้เขียวสวยน่ารับประทานผักลวก รับประทานคู่กับน้ำพริกนานาชนิด อาหารอร่อยคู่สำรับคนไทยอย่างเราๆ แต่หลายๆ ครั้ง เมื่อลวกผักแล้วผักกลับดำคล้ำไม่น่ารับประทานเอาเสียเลย เทคนิกง่ายๆที่ทำให้ลวกผักประเภทผักใบให้เขียวสวยน่ารับประทานก็คือ ขั้นแรก ล้างผักให้สะอาด เลือกเอาส่วนที่เน่าเสียออก แยกผักออกเป็นส่วนก้านและส่วนใบ ขั้นที่สอง ใช้น้ำให้น้อยดูว่าพอดีท่วมผักเมื่อใส่ลงไปในหม้อแล้ว (เพื่อสงวนคุณค่าทางโภชนาการ) ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือและน้ำมันอย่างละประมาณ 1 ช้อนชา (เกลือทำให้ผักมีรสชาติ น้ำมันทำให้ผักมีสีเขียว) ขั้นที่สาม เร่งไฟแรง ใส่ผักลงไปต้ม โดยใส่ส่วนก้านก่อน แล้วค่อยตามด้วยใบ ถ้าต้องการต้มทั้งต้น ให้จุ่มก้านลงไปก่อนแล้วค่อยๆ วางส่วนใบลงต้มทั้งต้น ขั้นสุดท้าย เมื่อผักสุกใบเปลี่ยนเป็นสีเขียวสม่ำเสมอ ให้ตักผักขึ้นแช่ในน้ำเย็นทันที เพื่อให้ผักคายความร้อน ไม่สุกต่อ ซึ่งจะทำให้ผักเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือเขียวคล้ำ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถลวกผักให้สุกเขียวน่ารับประทานได้ไม่ยากเลย
ที่มา : thaifooddb.com
ลวกผักให้เขียวสวยน่ารับประทานผักลวก รับประทานคู่กับน้ำพริกนานาชนิด อาหารอร่อยคู่สำรับคนไทยอย่างเราๆ แต่หลายๆ ครั้ง เมื่อลวกผักแล้วผักกลับดำคล้ำไม่น่ารับประทานเอาเสียเลย เทคนิกง่ายๆที่ทำให้ลวกผักประเภทผักใบให้เขียวสวยน่ารับประทานก็คือ ขั้นแรก ล้างผักให้สะอาด เลือกเอาส่วนที่เน่าเสียออก แยกผักออกเป็นส่วนก้านและส่วนใบ ขั้นที่สอง ใช้น้ำให้น้อยดูว่าพอดีท่วมผักเมื่อใส่ลงไปในหม้อแล้ว (เพื่อสงวนคุณค่าทางโภชนาการ) ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือและน้ำมันอย่างละประมาณ 1 ช้อนชา (เกลือทำให้ผักมีรสชาติ น้ำมันทำให้ผักมีสีเขียว) ขั้นที่สาม เร่งไฟแรง ใส่ผักลงไปต้ม โดยใส่ส่วนก้านก่อน แล้วค่อยตามด้วยใบ ถ้าต้องการต้มทั้งต้น ให้จุ่มก้านลงไปก่อนแล้วค่อยๆ วางส่วนใบลงต้มทั้งต้น ขั้นสุดท้าย เมื่อผักสุกใบเปลี่ยนเป็นสีเขียวสม่ำเสมอ ให้ตักผักขึ้นแช่ในน้ำเย็นทันที เพื่อให้ผักคายความร้อน ไม่สุกต่อ ซึ่งจะทำให้ผักเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือเขียวคล้ำ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถลวกผักให้สุกเขียวน่ารับประทานได้ไม่ยากเลย
ที่มา : thaifooddb.com
2008-10-09
ต้มยำปลาอย่างไรไม่ให้เหม็นคาว
เคล็ดลับ
ต้มยำปลาอย่างไรไม่ให้เหม็นคาวหลายๆ ท่าน คงประสบกับปัญหาเมื่อทำต้มยำปลาแล้วมีกลิ่นคาว ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากโดยธรรมชาติในปลาจะมีโปรตีนและไขมันอยู่ ปลาที่มีไขมันมากก็จะยิ่งมีกลิ่นคาวมาก โปรตีนในปลาจะละลายออกมาเมื่อถูกน้ำอุ่นและทำให้เกิดกลิ่นคาว การป้องกันกลิ่นคาวของปลาให้หมดไป ทำได้โดย ต้องต้มน้ำซุปให้เดือดพล่านก่อนใส่ปลาลงไป รวมทั้งเมื่อใส่เนื้อปลาลงไปแล้ว ไม่ควรเขี่ยหรือคนเนื้อปลา จนกว่าเนื้อปลาจะสุกเสียก่อน เพียงเท่านี้กลิ่นคาวก็จะไม่หลงเหลืออีกต่อไป
ที่มา: thaifooddb.com
ต้มยำปลาอย่างไรไม่ให้เหม็นคาวหลายๆ ท่าน คงประสบกับปัญหาเมื่อทำต้มยำปลาแล้วมีกลิ่นคาว ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากโดยธรรมชาติในปลาจะมีโปรตีนและไขมันอยู่ ปลาที่มีไขมันมากก็จะยิ่งมีกลิ่นคาวมาก โปรตีนในปลาจะละลายออกมาเมื่อถูกน้ำอุ่นและทำให้เกิดกลิ่นคาว การป้องกันกลิ่นคาวของปลาให้หมดไป ทำได้โดย ต้องต้มน้ำซุปให้เดือดพล่านก่อนใส่ปลาลงไป รวมทั้งเมื่อใส่เนื้อปลาลงไปแล้ว ไม่ควรเขี่ยหรือคนเนื้อปลา จนกว่าเนื้อปลาจะสุกเสียก่อน เพียงเท่านี้กลิ่นคาวก็จะไม่หลงเหลืออีกต่อไป
ที่มา: thaifooddb.com
วิธีทำต้มยำกุ้ง
เคล็ดลับ
วิธีทำต้มยำกุ้งให้ถึงรสต้มยำ กุ้งที่จะนำมาทำต้มยำได้อร่อย จากที่เคยได้พูดคุยกับหลายๆ คน แม่สาลิกา สรุปได้ว่า ได้แก่กุ้งแชบ๊วย หรือกุ้งนางค่ะ ถ้าเป็นกุ้งแม่น้ำได้ก็จะยิ่งดีใหญ่ กุ้งควรเป็นกุ้งสด เวลาแกะกุ้งให้ไว้หาง เวลาโดนน้ำร้อนจะได้ไม่หดมากค่ะ ผ่าหลังและดึงเส้นดำออก น้ำที่ใช้ทำควรเป็นน้ำซุป อาจเป็นน้ำซุปไก่ก็ได้ค่ะ ตั้งไฟจนน้ำซุปเดือด จากนั้นจึงใส่ตะไคร้ พอน้ำซุปเดือดมีกลิ่นหอมของตะไคร้โชยขึ้นมา จึงใส่พริกขี้หนูทุบ กุ้ง และใบมะกรูด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำพริกเผา (แนะนำให้ใช้สูตรสำหรับทำต้มยำ) ปิดไฟ หลังจากกุ้งสุกแล้ว พยายามอย่าให้เดือดต่อเพราะจะทำให้กุ้งหดตัวเล็กลง และเนื้อแข็ง ทานต้มยำกุ้งให้อร่อย ต้องทานตอนร้อนๆ ค่ะ แบบว่าทำเสร็จแล้วทานเลย หากทิ้งไว้จนเย็นแล้วนำมาอุ่นใหม่ กุ้งจะหดแข็ง ทานไม่อร่อย ส่วนมะนาวถ้าเอามาเดือดซ้ำรสก็จะเปลี่ยนอีกด้วย
ที่มา : thaifooddb.com
วิธีทำต้มยำกุ้งให้ถึงรสต้มยำ กุ้งที่จะนำมาทำต้มยำได้อร่อย จากที่เคยได้พูดคุยกับหลายๆ คน แม่สาลิกา สรุปได้ว่า ได้แก่กุ้งแชบ๊วย หรือกุ้งนางค่ะ ถ้าเป็นกุ้งแม่น้ำได้ก็จะยิ่งดีใหญ่ กุ้งควรเป็นกุ้งสด เวลาแกะกุ้งให้ไว้หาง เวลาโดนน้ำร้อนจะได้ไม่หดมากค่ะ ผ่าหลังและดึงเส้นดำออก น้ำที่ใช้ทำควรเป็นน้ำซุป อาจเป็นน้ำซุปไก่ก็ได้ค่ะ ตั้งไฟจนน้ำซุปเดือด จากนั้นจึงใส่ตะไคร้ พอน้ำซุปเดือดมีกลิ่นหอมของตะไคร้โชยขึ้นมา จึงใส่พริกขี้หนูทุบ กุ้ง และใบมะกรูด ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว และน้ำพริกเผา (แนะนำให้ใช้สูตรสำหรับทำต้มยำ) ปิดไฟ หลังจากกุ้งสุกแล้ว พยายามอย่าให้เดือดต่อเพราะจะทำให้กุ้งหดตัวเล็กลง และเนื้อแข็ง ทานต้มยำกุ้งให้อร่อย ต้องทานตอนร้อนๆ ค่ะ แบบว่าทำเสร็จแล้วทานเลย หากทิ้งไว้จนเย็นแล้วนำมาอุ่นใหม่ กุ้งจะหดแข็ง ทานไม่อร่อย ส่วนมะนาวถ้าเอามาเดือดซ้ำรสก็จะเปลี่ยนอีกด้วย
ที่มา : thaifooddb.com
สารพัดผัก แกงส้มให้อร่อย
เคล็ดลับ
สารพัดผัก แกงส้มให้อร่อย ในเคล็ดลับคู่ครัว เราเคยคุยกันเรื่องเทคนิควิธีทำแกงส้มให้อร่อย พอมานั่งพินิจพิจารณาส่วนประกอบของแกงส้ม อาหารพื้นบ้านของคนไทยอย่างเรา ๆ กลับมีหลากหลายแบบ แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ถิ่นไหนมีปลาร้า ก็เอาปลาร้ามาใส่ ถิ่นไหนมีปลาน้ำจืด ก็เอาเนื้อปลาน้ำจืดมาทำแกงส้ม บ้านไหนอยู่ติดทะเล ก็เอาเนื้อปลาทะเลมาทำ หรือแม้กระทั่งกุ้ง ปู หมู ไก่ ก็มีคนเอามาทำแกงส้ม นอกจากเนื้อสัตว์ที่สร้างความแปลกแตกต่างให้กับแกงส้มแล้ว ผักที่ใส่ในแกงส้มก็มีมากมาย หลากหลายขึ้นไปอีก ทั้งผักใบอย่าง ผักบุ้งไทย ผักบุ้งจีน ผักกะเฉด กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ใบตำลึง ใบมะยม ใบแมงลัก ใบมะดัน ใบกระเจี๊ยบ ใบชะมวง ผักหัวอย่าง หัวไชเท้า ส่วนดอกพืชอย่างดอกแค ดอกกะหล่ำ ดอกขจร ดอกโสน ดอกมะรุม ดอกกระเจี๊ยบ หัวปลี ส่วนผลอย่างบวบ ฟัก ฟักทอง แตงกวา แตงร้าน แตงโมอ่อน เปลือกแตงโม ลูกตำลึงอ่อน สารพัดถั่วอย่าง ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วพู ถั่วแขก หรือเห็ดอย่าง เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า หรือยอดอ่อนของมะพร้าว ไส้กล้วยอ่อน โอ๊ะโอ... มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เวลาเรียกชื่อแกงส้ม เรามักเรียกชื่อตามผักหรือเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไปในแกง แกงส้มที่นิยมหรือได้ยินชื่อกันบ่อย ๆ เช่น แกงส้มกุ้งมะละกอ แกงส้มผักบุ้ง แกงส้มปลาช่อนผักกะเฉด แกงส้มผักกาดขาว แกงส้มดอกกะหล่ำ แกงส้มผักรวม อันนี้จะรวมผักหลากหลายอยู่ในหม้อเดียวกัน ที่นิยมก็คือหัวไชเท้า ดอกกะหล่ำ ถั่วฝักยาว มะละกอ ผักกาดขาว ตัวอย่างแกงส้มที่ยกมานี้ สังเกตได้ว่าผักที่ใช้เป็นผักพื้นบ้าน ที่พบเห็นกันทั่วไปแทบทุกท้องถิ่น เราจึงคุ้นหูกันเป็นอย่างดี นอกจากแกงส้มประเภทที่กล่าวไปแล้ว เรายังมีแกงส้มประจำท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้ส่วนผสม ที่เป็นของประจำท้องถิ่น ให้ได้แกงส้มที่แปลกแตกต่างกันออกไป อย่างเช่น แกงส้มหมูชะมวง ที่ใช้ใบแก่ของชะมวง ซึ่งมีรสออกเปรี้ยวมาทำ ซึ่งต้นชะมวงนี้เป็นพืชยืนต้น มีมากแถบภาคตะวันออกของไทย แกงสัมกระเจี๊ยบเขียว แกงส้มยอดกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเป็นพืชล้มลุกที่นำมาทำแกงส้มได้ โดยใช้ส่วนใบอ่อนและยอด กระเจี๊ยบยังจัดอยู่ในกลุ่มพืชสมุนไพร ที่มีสรรพคุณทางยา ช่วยละลายเสมหะ ย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอีกด้วย คนไทยโบราณ รู้จักประยุกต์ใช้วัตถุดิบที่หลากหลาย ลูกๆหลานๆ เลยมีโอกาสได้ทานแกงส้มแบบไทยๆ แต่อร่อยได้หลากแบบ แตกต่างกันไปจริงๆค่ะ
ที่มา : .thaifooddb.com
สารพัดผัก แกงส้มให้อร่อย ในเคล็ดลับคู่ครัว เราเคยคุยกันเรื่องเทคนิควิธีทำแกงส้มให้อร่อย พอมานั่งพินิจพิจารณาส่วนประกอบของแกงส้ม อาหารพื้นบ้านของคนไทยอย่างเรา ๆ กลับมีหลากหลายแบบ แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น ถิ่นไหนมีปลาร้า ก็เอาปลาร้ามาใส่ ถิ่นไหนมีปลาน้ำจืด ก็เอาเนื้อปลาน้ำจืดมาทำแกงส้ม บ้านไหนอยู่ติดทะเล ก็เอาเนื้อปลาทะเลมาทำ หรือแม้กระทั่งกุ้ง ปู หมู ไก่ ก็มีคนเอามาทำแกงส้ม นอกจากเนื้อสัตว์ที่สร้างความแปลกแตกต่างให้กับแกงส้มแล้ว ผักที่ใส่ในแกงส้มก็มีมากมาย หลากหลายขึ้นไปอีก ทั้งผักใบอย่าง ผักบุ้งไทย ผักบุ้งจีน ผักกะเฉด กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักกาดเขียว ผักกวางตุ้ง ใบตำลึง ใบมะยม ใบแมงลัก ใบมะดัน ใบกระเจี๊ยบ ใบชะมวง ผักหัวอย่าง หัวไชเท้า ส่วนดอกพืชอย่างดอกแค ดอกกะหล่ำ ดอกขจร ดอกโสน ดอกมะรุม ดอกกระเจี๊ยบ หัวปลี ส่วนผลอย่างบวบ ฟัก ฟักทอง แตงกวา แตงร้าน แตงโมอ่อน เปลือกแตงโม ลูกตำลึงอ่อน สารพัดถั่วอย่าง ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วพู ถั่วแขก หรือเห็ดอย่าง เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า หรือยอดอ่อนของมะพร้าว ไส้กล้วยอ่อน โอ๊ะโอ... มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เวลาเรียกชื่อแกงส้ม เรามักเรียกชื่อตามผักหรือเนื้อสัตว์ที่ใส่ลงไปในแกง แกงส้มที่นิยมหรือได้ยินชื่อกันบ่อย ๆ เช่น แกงส้มกุ้งมะละกอ แกงส้มผักบุ้ง แกงส้มปลาช่อนผักกะเฉด แกงส้มผักกาดขาว แกงส้มดอกกะหล่ำ แกงส้มผักรวม อันนี้จะรวมผักหลากหลายอยู่ในหม้อเดียวกัน ที่นิยมก็คือหัวไชเท้า ดอกกะหล่ำ ถั่วฝักยาว มะละกอ ผักกาดขาว ตัวอย่างแกงส้มที่ยกมานี้ สังเกตได้ว่าผักที่ใช้เป็นผักพื้นบ้าน ที่พบเห็นกันทั่วไปแทบทุกท้องถิ่น เราจึงคุ้นหูกันเป็นอย่างดี นอกจากแกงส้มประเภทที่กล่าวไปแล้ว เรายังมีแกงส้มประจำท้องถิ่น ซึ่งเกิดจากการใช้ส่วนผสม ที่เป็นของประจำท้องถิ่น ให้ได้แกงส้มที่แปลกแตกต่างกันออกไป อย่างเช่น แกงส้มหมูชะมวง ที่ใช้ใบแก่ของชะมวง ซึ่งมีรสออกเปรี้ยวมาทำ ซึ่งต้นชะมวงนี้เป็นพืชยืนต้น มีมากแถบภาคตะวันออกของไทย แกงสัมกระเจี๊ยบเขียว แกงส้มยอดกระเจี๊ยบแดง กระเจี๊ยบเป็นพืชล้มลุกที่นำมาทำแกงส้มได้ โดยใช้ส่วนใบอ่อนและยอด กระเจี๊ยบยังจัดอยู่ในกลุ่มพืชสมุนไพร ที่มีสรรพคุณทางยา ช่วยละลายเสมหะ ย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ เป็นยาระบายอีกด้วย คนไทยโบราณ รู้จักประยุกต์ใช้วัตถุดิบที่หลากหลาย ลูกๆหลานๆ เลยมีโอกาสได้ทานแกงส้มแบบไทยๆ แต่อร่อยได้หลากแบบ แตกต่างกันไปจริงๆค่ะ
ที่มา : .thaifooddb.com
Subscribe to:
Posts (Atom)