เทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความรัก
ตอนที่ 1 คุณผู้อ่านอย่าเพิ่งแปลกใจนะคะ ว่ายังอีกตั้งนานกว่าจะถึงวาเลนไทน์ แล้วไฉนแม่อบเชยจึงได้มาพูดถึงเทศกาลแห่งความรัก ก็ช่วงนี้เป็นเรื่องของเทศกาลแห่งความรักจริงๆ นี่คะ จะให้แม่อบเชยละเว้นที่จะกล่าวถึงไปได้อย่างไรกัน รักอันใดที่ไหนเล่าจะยิ่งใหญ่เท่ารักเพื่อนร่วมโลกอย่างเสมอภาคกัน โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น แม้กระทั่ง ไฟลัมและสปีชีส์ ว่านี่คือคนหรือนั่นคือสัตว์ เทศกาลกินเจเทศกาลที่จะช่วยให้เราละเว้นชีวิตสัตว์ที่อุทิศตนเป็นอาหารเรามาแล้วตลอดทั้งปี แม้เพียงช่วงหนึ่งก็ยังดีที่จะได้ละเว้นไปเสียบ้าง นี่แหละค่ะ…ที่ให้แม่อบเชยเรียกว่าเทศกาลแห่งความรัก รักชีวิตผู้อื่นมากกว่ารักความอร่อยลิ้นของตนเองค่ะเทศกาลกินเจ มีมาตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานยืนยันค่ะ แต่เท่าที่รู้กันทั่วไปคือเป็นเทศกาลของชาวจีนที่มีนานเต็มทีแล้ว ชื่อเรียกเต็มก็คือ เทศกาล "เกาอ่วงเจ" ค่ะ ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดการกินเจก็มีหลายตำนานตามแต่ว่าจะฟังมาจากจีนถิ่นไหนเท่าที่แม่อบเชยไปสืบค้นมานะคะ ประวัติประเพณีกินเจ ตำนานแรกนั้น มันเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ ผักเอ๋ย…ผักชีโรยหน้า…" ที่มนุษย์บนดินสร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจเทพเจ้า 9 องค์ ที่สิงสถิตอยู่ ณ ดาวจระเข้ค่ะ เพราะว่าพอถึงเวลานี้ เทพเจ้าท่านก็จะเสด็จลงมาพักร้อน เอ๊ย!ตรวจความประพฤติของมนุษย์บนโลกนี้ หลายต่อหลายคนก็เลยเกิด ไอเดียโรยผักชีให้ท่านเห็นว่า ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างยิ่งในการอยู่อาศัยในโลกใบนี้ อยู่อย่างขาวสะอาด เพราะแต่งกายด้วยชุดสีขาวซึ่งก็ไม่ได้ระบุว่าสะอาดหรือไม่อย่างไรนะคะ รวมทั้งกินอยู่หลับนอนแบบไม่เบียดเบียนใครให้ระคายต่อเบื้องยุคลบาทของเทพไท้ทั้ง 9 องค์นั่นเองค่ะ หากตำนานนี้เป็นจริงแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสมัยนี้จะยังใช้ได้อยู่ไหม เพราะเทพไททั้งเก้าท่านอาจจะอาศัยระบบตรวจสอบพฤติกรรมออนไลน์ได้เสมอ จะโรยผักชีอย่างไร ข้อเท็จจริงก็ต้องเผยไปวันยังค่ำแหล่ะค่ะสำหรับตำนานประเพณีกินเจต่อมา บอกเอาไว้ว่า เริ่มมีการถือศีลกินเจในสมัยราชวงศ์เช็ง แห่งพระนางซูสีไทเฮาค่ะ เพราะว่าในช่วงที่เกิดกบฏไต้เผ็งหรือที่รู้จักกันในนาม กบฏนักมวยนั้นมีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากค่ะ ดังนั้นเมื่อสิ้นสุดเหตุการณ์ร้ายแรงนั้นแล้ว ประชาชนก็จึงพร้อมใจกันรักษาศีลและละเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เหล่านั้นค่ะ สำหรับประวัติการกินเจ ตำนานสุดท้ายเท่าที่สามารถสืบค้นมาได้นะคะ ก็มีหลักฐานอ้างอิงเอาไว้ว่า เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในยุคต้นราชวงศ์หมิงค่ะ เพราะว่าก่อนหน้าที่ราชวงศ์หมิงจะได้ขึ้นครองจีนนั้น ประชาชนชาวจีนทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การปกครองของ ราชวงศ์หยวนซึ่งเป็นชาวมองโกลเกือบร้อยปี ซึ่งนับเป็นห้วงเวลาแห่งความทุกข์ ทรมาน มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อชาวจีนสามารถโค่นล้มราชวงศ์มองโกล ลงได้และราชวงศ์หมิงซึ่งเป็นราชวงศ์ของชาวจีนโดยแท้ได้ขึ้นปกครองจีน ชาวจีนทั้งแผ่นดินจึงพร้อมใจงดบริโภคเนื้อสัตว์และถือศีลเป็นเวลา 9 วันเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่เสียชีวิต จากความทุกข์ยากในห้วงเวลาที่ผ่านมา จากนั้นมาทุกปี ในห้วงเวลาเดียวกัน ก็จะมีการงดบริโภคเนื้อสัตว์และรักษาศีลเช่นนี้สืบต่อกันมาจน เป็นประเพณีอย่างที่เราเห็นๆ กันนี่แหละค่ะแม้ว่าในตำนานเทศกาลกินเจทั้ง 3 ตำนานที่กล่าวมานั้นจะไม่มีอะไรที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่า แท้จริงแล้วที่มาที่ไปของเทศกาลกินเจนี้ เป็นอย่างไรกันแน่ก็ตามนะคะ แต่แม่อบเชย เห็นว่า หากประเพณีใดที่มีคุณค่า มีความดีความงามผสมผสานอยู่แล้วละก็ อย่าพักไปสงสัยกับที่ไปที่มานักเลยค่ะ สานต่อกันไว้ดีกว่าค่ะ โดยเฉพาะเทศกาลกินเจ เทศกาลแห่งความรักผู้อื่นและรักตนเองเช่นนี้ ปฏิบัติตามย่อมมีแต่ได้กับได้ทั้งนั้น เลยค่ะเทศกาลกินเจปี 2551 นี้จะเริ่มขึ้นในวันแรม 15 ค่ำเดือน 10 ค่ะ หากแม่อบเชยบอก เช่นนี้คงมีคุณผู้อ่านโยนค้อนเข้ามาให้สักวงสองวงเป็นแน่แท้ เพราะปัจจุบันสมัยเรา ไม่ค่อยได้รู้จักข้างขึ้นข้างแรมกันนัก เอาใหม่ค่ะ เริ่มกันในช่วงวันที่ 29 กันยายน - 7 ตุลาคม ค่ะ ซึ่งบางคนก็จะเริ่มกินล่วงหน้าประมาณวันหรือสองวันเพื่อล้างท้องไส้ให้สะอาด ปราศจากการตกค้างของเนื้อสัตว์ใดๆ พร้อมที่จะรักษาศีลกินเจให้บริสุทธิ์ อย่างแท้จริงค่ะ และเมื่อถึงวันเริ่มกินเจจริงๆ นั้น ผู้ที่ร่วมเทศกาลก็จะแต่งกายด้วย ชุดสีขาวล้วน ดูสะอาดตาเต็มไปหมดในย่านที่การกินเจเป็นที่นิยม โดยเฉพาะแถวเยาวราชค่ะ สำหรับจังหวัดอื่นๆ ที่มีคนไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่นั้นก็มีการเฉลิมฉลอง เทศกาลประกอบไปด้วยอย่างใหญ่โตมโหฬาร เช่น ในจังหวัดภูเก็ตนั้น การฉลองเทศกาลกินเจยิ่งใหญ่ และพิสดารจนกลายเป็นจุดขายทางการทอ่งเที่ยวไปแล้วค่ะ เพราะว่าจวนจะถึงช่วงเทศกาลกินเจนั้น ปรกติโรงแรมแถวภูเก็ตจะถูกจองเต็มไปหมด (แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรค่ะ) เพราะว่าผู้คนจากทั่วสารทิศล้วนหลั่งไหลไปรวมกันอยู่ที่นั่น เพราะอยากไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่า "ม้าทรง"ที่เทพเจ้าลงมาประทับนั้น สามารถที่จะเดินในกองไฟ ได้โดยไม่เจ็บปวด สามารถใช้ปีนบันไดที่ขั้นบันไดทำด้วยใบมีดโกนได้โดยบาดเจ็บ เพียงเล็กน้อยจริงหรือ รวมทั้งการนำดาบ หรือเหล็กแหลมมาเสียบตามลิ้น ตามตัว หรือกระทั่งแทงให้ทะลุกระพุ้งแก้ม เป็นที่น่าหวาดเสียวว่าจะมีเนื้อหลุดออกมา เป็นชิ้นๆ นั้น เมื่อเทพเจ้าออกไปจากสื่อหรือม้าทรงแล้ว พวกเขาสามารถกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้จริงหรือ นั่นเองค่ะ
ที่มา:thaifooddb.com